พระยาน้อยชมตลาด

Day 1 :

เยือนย่างกุ้งยามเย็นย่ำ

(โหย…กว่าจะโพสรูปเสร็จ หมดไปครึ่งค่อนวัน…วันนี้ฟ้าไม่สวย รูปเลยออกมาครึ้มๆ ก็ดูเอาบรรยากาศละกันเนาะ ^^)

–> แกะก้นตัวเองออกมาจากห้องได้สำเร็จ ก็ถึงเวลาชมเมือง เงินพร้อม กล้องพร้อม รองเท้าแตะพร้อม แต่แค่ลงลิฟท์มาถึงล็อบบี้ ฝนเจ้ากรรมก็ดันตกซู่ลงมา แถมตกหนักซะด้วย

ก็รู้อยู่นะ ว่ามาทริปนี้ต้องมีฝนตกแน่ๆ แต่ก่อนมาก็มัวแต่เกี่ยงกัน เราบอกให้หมีเตรียมร่มมา หมีบอกหาไม่เจอ เราเอามาแล้วกัน สุดท้ายก็ไม่ได้เอามาทั้งคู่ !!!

แต่ฝนแค่นี้รึจะเป็นอุปสรรค กิตติศัพท์ว่าคนพม่าใจดีจะตาย เราไปขอยืมร่มที่เคาน์เตอร์โรงแรม พี่เม้ยคนงาม หันรีหันขวางอยู่ซักพัก ก็ไปคว้าเอาร่มที่อยู่ด้านหลังมาให้ ขนาดใหญ่พอเดินได้ 2 คน ซำบายมาก

ก่อนมาพม่า เคยมีคนบอกว่าย่างกุ้งไม่ค่อยมีอะไร เก็บเวลาไว้ไปเที่ยวเมืองอื่นดีกว่า แต่ตามประสบการณ์ของเราแล้ว ย่างกุ้งนี่แหละ มีสีสันที่สุด สนุกที่สุด แค่เดินตามไปถนนแต่ละก้าว เข้าตามตรอกออกแต่ละซอย (จริงๆ ก็ไม่ใช่ซอยหรอก ถนนเค้าออกจะเป็นบล็อกๆ ตรงแหนว) ก็มีอะไรให้ดูไม่หวาดไม่ไหว แถมถนนก็ร่มรื่นน่าเดินเป็นที่สุด ใครมีเวลา…โปรแกรมที่พลาดไม่ได้ในย่างกุ้ง คือทำตัวเป็นพระยาน้อย เดิน เดิน และเดิน ชมบ้านชมเมืองไปเรื่อยๆ

แต่ช้าก่อน…กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ตั้งแต่เช้ามากระเพาะยังไม่ได้ทักทายข้าวซักเม็ด mission แรกของเราย่อมต้องเป็นการหาของกิน การชมเมืองยกให้เป็น by product ไปก่อน

แต่ให้ตายเถอะ สีสันของย่างกุ้งมันช่างยั่วยวนใจ คนขายของสองข้างทาง ร้านค้า รถรา ร้านน้ำชา โอย…ทุกสิ่งอย่างช่างน่าตื่นเต้น แต่ครั้นจะให้ควักกล้องถ่ายรูปขึ้นมาเป็นระยะๆ ก็เกรงใจเค้า ถ้ากระพริบตาแล้วถ่ายรูปได้คงประเสริฐที่สุด

เราเดินออกมาตามถนนสายหลัก โบ๊กจ๊กอองซาน มีโรงหนังแบบต่างจังหวัดบ้านเราติดๆ กัน อยู่ 2-3 แห่ง ข้างหน้าโรงจะมีคนคอยตะโกนบอกรอบหนัง เอ้า…ฉายแล้วๆๆๆ

ไหนจะคนรอซื้อตั๋ว ไหนจะคนรอรถเมล์ เอ้าข้างล่างนั่นพี่หม่องน้องเม้ยนั่งยองๆ นั่งยองๆ กินก๋วยเตี๋ยวอยู่สองข้างทาง ช่างเป็นทางเดินที่พลุกพล่านสนุกสนานลูกนัยน์ตาเสียนี่กระไร

ป้ายปิดหน้าหนังวาดด้วยมือ ให้อารมณ์ย้อนยุคเหมือนสมัยโรงหนังเฉลิมไทย

หูหมู หนังหมู ไส้หมูย่างเสียบไม้เวอร์ชั่นพม่า ตรงกลางคือน้ำจิ้มน้ำส้ม วิธีกินแสนง่าย นั่งยองๆ จิ้มแล้วก็กินกันตรงนั้นนั่นแล สะดวก ให้โปรตีน อิ่มสบายท้อง อยากลองกินเหมือนกัน แต่ใจยังไม่กล้าพออออออออ

รถที่วิ่งตามท้องถนนในพม่าส่วนมากจะค่อนข้างเก่า และเล็ก รถจี๊ปแบบทหารค่อนข้างเป็นที่นิยมและเห็นได้ทั่วไป คันตรงกลางสีเขียวๆ นี่คือรถเมล์คันเล็ก ซึ่งปกติจะแน่นมากๆ คันนี้พวงมาลัยอยู่ทางขวา และโชคดีที่มีประตูลงด้านขวาด้วย ถ่ายมาเพราะชอบสีรถ กับท่ากระเป๋านุ่งโสร่งนับตังค์ ได้ใจเดี๊ยนมั่กๆ ฮ่ะ 😛

อันนี้เป็นรถเมล์ใหญ่ สังเกตดีๆ ว่ารถวิ่งเลนขวา แต่ประตูลงดันอยู่ทางซ้าย จะขึ้น-ลงรถแต่ละที คงสนุกดีพิลึก !! 🙂

ที่พม่ายังไม่มีเทสโกโลตัส บิ๊กซี คาร์ฟูร์ สเน่ห์อย่างนึงของที่นี่จึงเป็นบรรดาร้านขายของโชว์ห่วยที่เห็นได้ตามถนนทั่วไป ที่น่ารักอีกอย่างนึงคือแต่ละแยกแต่ละย่านก็จะเป็นแหล่งที่ขายของ หรือทำธุรกิจอย่างเดียวกันเต็มไปหมด ถนนเส้นนี้รับทำตัวอักษรและป้ายชื่อ นั่นรับพิมพ์การ์ด ย่านนั้นตัดแว่นสายตา อีกแยกนึงเป็นคลีนิคกับขายยากันทั้งถนน ที่เห็นในรูปนี้เป็นถนนในซอยข้างหลังโรงแรม ขายท่อพลาสติกและอุปกรณ์กันทั้งแถบ

เดินลัดเลาะไปมาอยู่นาน ก็ยังไม่เจอร้านอาหารน่าสนใจ จริงๆ ที่ย่างกุ้งไม่ค่อยมีร้านอาหารตัวเป็นๆ ให้เห็น ไอ้ที่จะเดินเข้าไปกินอาหารตามสั่งแบบที่บ้านเราเนี่ยหาไม่ค่อยจะมี แต่ที่เจอกันอยู่ทุกมุมหัวถนนคือ ร้านนั่งยองๆ กิน กับม้านั่งตัวเตี้ยๆ ขายของกินหน้าตาคล้ายเส้นขนมจีน มีน้ำยาราดชามเล็กๆ อยู่หนึ่งหม้อ หรือไม่ก็เป็นร้านตักราดที่คนพม่านั่งกินกันข้างทางนั่นแล ร้านก็ทำได้ง่ายมาก มีแค่โต๊ะวางถาดอาหารกับเก้าอี้วางเรียงเป็นอันเสร็จ อยากกินก็ถลกโสร่งนั่งกันตรงนั้นเลย

เห็นเก้าอี้พลาสติกตัวน้อยน่ารัก ก็อยากจะนั่งเอาบรรยากาศแบบพี่ๆ พม่าเค้าบ้าง เลยหันไปหาหมี

“นั่งกินนี่กันมั้ย เดินนานแล้วอ่ะ ..เมื่อย!”

ปกติหมีเป็นคนกินง่ายมาก ขนาดว่าอาหารโปรดอย่างนึงคือส้มตำไทยพริก 3 เม็ด ข้าวเหนียวกับปลาดุกย่าง แล้วก็ต้องน้ำจิ้มแจ่วเท่านั้นนะ แต่คราวนี้หมีมองร้านแล้วหันมายิ้มแหะๆ

“ เอิ่ม…เดินอีกหน่อยละกันเนาะ แบบว่าอยากหาร้านที่มัน … more established กว่านี้อ่ะ “

กร๊ากกกกกกกก ฟังแล้วขำแทบกลิ้ง หมีนะหมี รู้จักกันมาตั้งนาน ยังไม่เคยได้ยินเค้าพูดคำนี้เลยนะเนี่ย

เดินไปเรื่อยจนทะลุถนนใหญ่อีกเส้นนึง ไปเจอเอาร้านขายอาหารอินเดีย ดูจากตู้กระจกเห็นข้าวคลุกสีสวยเรียงอยู่ในถาด เก้าอี้นั่งเป็นการเป็นงานอยู่ในร้าน เลยตกลงใจกินกันที่นี่แหละ แถมมีเมนูภาษาอังกฤษแปะอยู่บนฝาผนังให้ด้วย

เราสั่ง Briyani chicken : 1,200 จ๊าด
หมีสั่ง Briyani mutton : 1,400 จ๊าด
น้ำหนึ่งขวด : 300 จ๊าด

ได้บริยานี่มาพร้อมเครื่องเคียงเป็นมะเขือเทศปรุงเปรี้ยวๆ จานใหญ่มากก แต่จะด้วยความหิวหรืออะไรก็ไม่รู้ ก็กินกันเอร็ดอร่อย จนหมดเกลี้ยง

อ้อมาว่ากันเรื่องเงิน เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินจ๊าดพม่ากับดอลล่าร์ตลอดทริปนี้ช่างขึ้นๆ ลงๆ
เราก็เลยไม่รู้ว่าจริงๆ มันคิดเป็นเงินไทยเท่าไรกันแน่ แต่ก็อาศัยคิดง่ายๆ เวลาซื้อของ หรือกินข้าวว่า

100 จ๊าด = 3 บาท
300 จ๊าด = 10 บาท
500 จ๊าด = 15 บาท
1,000 จ๊าด = 30 บาท
5,000 จ๊าด = 150 บาท
10,000 จ๊าด = 300 บาท

เพราะฉะนั้น มื้อนี้หมดไป 2,900 จ๊าด คิดเป็นเงินไทย….ปิ๊งป่อง…เกือบ 90 บาท…เฮ่ยย..เพิ่งมาคำนวณตอนนี้…ข้าวจานนึงก็ไม่ใช่ถูกนะเนี่ย –“-


ย่างกุ้งหลังฝน ตึกใหม่ตั้งเคียงข้างตึกสไตล์โคโลเนียลสมัยเก่า

อิ่มท้องสบายตัว ก็ได้เวลาออกเดินอีกครั้ง เย็นๆ อย่างนี้คนเดินถนนพลุกพล่านดีแท้

ริมถนนมีร้านขายโปสเตอร์แบบใช้ในการเรียนการสอนสีสวย มีทั้งแผนที่ประเทศพม่า การแต่งกายแบบประเพณี อวัยวะในร่างกาย และอีกมากมายจิปาถะ

เราสะดุดตาเอาแผ่นโปสเตอร์ตัวอักษรพม่า มีภาพประกอบตัวหนังสือแต่ละตัว แบบ ก ไก่ ข ไข่

“ แผ่นละเท่าไรคะ ”
“ 300 จ๊าด “
“โหย แพงอ่ะ ลดหน่อยได้มั้ย” ปากต่อไปโดยอัติโนมัติเลย

หมีหันมาดุ “ เฮ่ย นี่ก็ถูกแล้ว อย่าไปต่อเค้า “
เอ้า หรอ ก็สมองมันยังไม่ทัน convert เป็นเงินไทยอ่ะ เค้าบอกมา 300 ก็ รู้สึกว่าแพงดิ

“ งั้น 2 แผ่น 500 ได้มั้ยคะ “ ยัง..ยังไม่พอ ต้องขอต่อนิดนึงไว้ก่อน
“ ได้ เดี๋ยวห่อให้เลยนะ “ คนขายตอบตั้งกะยังต่อไม่เสร็จ มือคว้าโปสเตอร์ 2 แผ่นม้วนหนังยางมาให้เรียบร้อย

อ้าว เฮ่ยยยย ทำไมให้ง่ายจัง นี่ตกลงโก่งราคานักท่องเที่ยวป่าวเนี่ย …
หมีค้อน 1 ที … คนเรานะ เค้าลดให้ก็ยังระแวง เนี่ยโปสเตอร์เคลือบพลาสติกแข็งอย่างดี 2 แผ่น 15 บาท .. อยู่กรุงเทพ ซื้อชาเย็นถุงนึงดูดแป๊บเดียวก็หมดแล้ว –“-

เออ จริงฟ่ะ..!!

ยังไม่เข็ด…อีกครั้งนึง เห็นร้านขายรองเท้าอยู่ข้างถนน เค้าเอารองเท้าออกมาวางที่แผงข้างนอก รองเท้าแตะฮอตฮิตของที่นี่ เป็นแบบหูหนีบ หน้าตาก็ไม่ได้ขี้ริ้วขึ้เหร่นะคะ ดูดีทีเดียวเชียวล่ะ เพราะทำมาจากผ้ากำมะหยี่หลากหลายสี มีสารพัดไซส์ให้เลือก

เราอาศัยจังหวะที่หมีถ่ายรูปอยู่ ชะแว้บเข้าไปถามราคา
“ 300 จ๊าด ครับ “
เอ..300 จ๊าด … 300 จ๊าด…มันเท่าไรนะ…โอวมายก๊อด..10 บาทค่ะพ่อแม่พี่น้อง !! หูหนีบอันงามนี้ ถูกกว่าคอนเน่ชีสถุงใหญ่ของอิชั้นอีก

เลือดช็อปปิ้งพุ่งกระฉูด แหม..ขอลองหน่อยได้มั้ยคะ ..คือเท้าก็มีอยู่แล้วคู่นึงอ่ะนะ แต่แบบ ของมันถูกอดไม่ได้

ยังไม่ทันได้ทำอะไร !! หมีเดินตามมาทันซะก่อน ..แน่ะ!! ทำไรน่ะ อย่าลองเลย คนเยอะ เสียเวลา..ไปๆๆ เดินต่อๆ
แหม…อดเลย ไม่ได้อยากได้หรอก แต่แค่เสียดายยยยยยย!! ^^

เดินอยู่ดีๆ หมีก็เข้ามากระซิบกระมิดกระเมี้ยน

“นี่ๆ ที่นี่เค้ามีบริการ call girl ด้วยเหรอ”

” เฮ้ย !! เอาจริงดิ .. ไม่ม้างงงง ไปเอามาจากไหน ??”

” ก็แบบร้านเมื่อกี๊ หน้าร้านเห็นมีรูปผู้หญิงยิ้ม พร้อมเบอร์ วางขายอยู่เต็มเลย”

เอ..อันนี้ไม่รู้แฮะ ..ที่อ่านมาก็ไม่เคยเจอเลย ไม่หรอกน่า..ถ้าใช่จริง อะไรมันจะมาวางขายกันประเจิดประเจ้อปานนั้น

เลาะมาได้ 2-3 ก้าว คราวนี้เห็นเองเต็มๆ ตา

กระดาษพิมพ์สีสวย หลากหลายรูปแบบ พร้อมรูปแม่หญิงพม่ายิ้มตาหวาน บางแบบก็เป็นรูปคู่วัยรุ่น ถัดไปเป็นรูปนายแบบ (พม่า) โพสท่าเท่ห์ แน่นอนทุกอันมีตัวเลขประกบอยู่ 6-7 ตัว

งงค่ะ..อิชั้นนี่แหละ งงเป็นไก่ตาแตก … เออ จริงๆ การที่ไม่ค่อยมีเวลาหาข้อมูลก่อนมาเที่ยวก็ดีไปอีกแบบนะ ได้เจออะไรที่ไม่รู้จักซะบ้าง

เฮ่ย..หรือมันจะเหมือนแบบบริการ 1900-999 … แบบว่าโทรไปเบอร์ตามบัตรนี้ ก็จะได้คุยกับนางแบบที่อยู่ในรูป

บ้า!! นี่มันเมืองพุทธนะยะ รัฐบาลเค้าก็ออกจะคร่ำเคร่ง ไม่น่าจะเป็นเบอร์ธุรกิจหาเพื่อนคุยอะไรขนาดนั้น เอ๊ะ..รึมันจะเป็นบัตรโทรศัพท์ ..เหมือนซิมการ์ดไง..แต่มีรูปนางแบบเพื่อความกิ๊บเก๋

เก็บความสงสัยมาได้ซักระยะ แต่ถนนเส้นนี้ก็ดันมีร้านขายไอบัตรแบบนี้ซะหลายร้านเหลือเกิน อดรนทนไม่ไหว ต้องเข้าไปถามซะหน่อย

” น้องคะๆ ไอเนี่ย..มันคืออะไรเหรอคะ” ถามกันตรงๆ นี่แหละ..โง่ก็บอกว่าโง่

สาวพม่า ประแป้งตะนะคา 2-3 คนที่ยืนอยู่หน้าร้านได้แต่ยิ้มทำท่าเขินอาย น้องพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ไม่รู้จะทำไง เค้าเลยหันไปเรียกคนในร้านให้ออกมาคุย … ลุงคะยัยคนนี้มาบ่นอะไรก็ไม่รู้ค่ะ

—> เดี๋ยวมาเฉลยนะคะ ว่ามันคืออะไร ^^

ลุงเดินออกมากจากในร้าน มองหน้าหนึ่งที เช็คให้ชัวร์ ว่าถามจริงไม่ได้เล่นมุข ก่อนเฉลย …แถ่น แทน แท้น .. มันคือ ล็อตเตอรี่ ..หรือ ห.ว.ย. ..หวยบนดินนั่นเอง แต่ของเค้านี่มี 7 ตัวนะ ถูกยากกว่า แถมไม่มีรางวัลเลขท้าย 2 ตัว หรือ 3 ตัว เหมือนบ้านเราด้วย … ได้ฟังแล้วก็ถึงบางอ้อ…แหม..สีสันแพรวพราวขนาดนี้ ทำเอาเลือกกันไม่หวาดไม่ไหว

เออ..ว่าแล้วก็ลืมถามเนาะ ว่าเค้าออกกันกี่เดือนครั้ง ก็เลยได้แต่ขอเค้าถ่ายรูปเก็บเอาไว้ น้องๆ ที่ร้านหัวเราะคิกคัก..เฮ้ออ ..พวกนักท่องเที่ยวไม่เคยเห็นหวย…คิก คิก คิก !!

ไปเที่ยวพม่า ตามหัวเมืองใหญ่ๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีที่แลกเงิน ขอเพียงคุณทำหน้าตาแปลกประหลาด หรือทำอากัปกิริยาอันผิดแผกจากชาวบ้านร้านตลาดแม้เพียงเล็กน้อย เค้าจะเข้ามาหาคุณเอง !!

เค้าคือใคร ??

เค้าคือเหล่าผู้ชายพม่านุ่งโสร่งที่ยืนอยู่ตามมุมตึก ตามแยกถนนใหญ่ ทันทีที่เห็นนักท่องเที่ยวเดินผ่านมาตามทาง เค้าจะเข้าประกบ…ยิ้มทักทาย..เดินตาม..ก่อนปล่อยคำถามเด็ด…

แลกเงินมั้ยคร้าบบบบบ ?????

นี่แหละ ตลาดมืดแลกเงินของแท้ วิธีการมักจะเริ่มจากร้านแลกเงินซึ่งส่วนมากเจ้าของเป็นคนพม่าเชื้อสายอินเดียที่ทำกิจการร้านจิวเวลรี ส่งลูกจ้างออกมายืนดักนักท่องเที่ยวตามถนน อัตราการแลกเปลี่ยนจะขึ้นอยู่กับจำนวนเงิน และแบ็งค์ดอลล่าร์ที่จะแลกซึ่งเจ้าของร้านก็มักจะกำหนดมาไว้แล้ว

แต่ขึ้นชื่อว่าตลาดมืด ย่อมเป็นการกระทำที่ถูกตราว่าผิดกฎหมาย การแลกเปลี่ยนจึงทำกันในที่ลับ เช่นตามซอกตึก ที่เปลี่ยว หรือบรรดาหน้าม้าอาจจะพาลูกค้าไปยังร้านค้าที่รับแลกเงินโดยตรง ตอนนี้แหละถึงคราวที่คนรับแลกเงินจะงัดเอาบรรดาเล่ห์เหลี่ยมสารพัดขึ้นมาใช้ เพื่อหลอกเอาเงินจากนักท่องเที่ยวให้ได้มากที่สุด … คิดจะแลกเงินกันตามถนนแบบนี้ เรียกว่าต้องใช้สติและขันติอย่างสูงเลยทีเดียว

ตั้งกะเดินออกมาจากโรงแรม แวะกินข้าว จนเดินออกมาตามถนนอีกครั้ง มีคนเดินตามเราเรื่องแลกเงินนี่ไม่ต่ำกว่า 5 ครั้งแล้ว พอควักกล้องถ่ายรูปออกมาปั๊บ เดินข้ามถนนนี่จะเดินยิ้มเข้ามาเลย

“มาจากไหนคร้าบบบ”

“ประเทศไทยค่ะ”

“อ๋อ…ประเทศเพื่อนบ้านเนาะ..แต่คุณหน้าเหมือนคนพม่ามากเลยนะ” (ยิ้มแย้มหน้าตาเป็นมิตรสุดๆ)

” เหรอคะ ” (เรดาร์ส่งเสียงติ๊กๆๆ มาไม้ไหนว้า)

” ครับ จริงๆ นะ..ว่าแต่..สนใจจะแลกเงินมั้ยล่ะ..ผมให้เรทดีน้า…เนี่ยๆ ร้านผมอยู่ข้างในนี่เอง”(น่านไงล่า ตูว่าแล้วว)

” อ๋ฮ..เหรอคะ ..ให้เรทเท่าไรล่ะคะ” (ปากก็ถาม แต่เท้าก็ไม่หยุดเดิน..พี่พม่าก็เดินตาม..กะไม่ให้หลุดเลยทีเดียวเชียว)

” ถ้าแบ็งค์ 100 ดอลล์ ก็ให้ ดอลล์ละ 1,250″

” เหรอคะ.. 1,300 ได้มั้ย”

” โอย..ไม่ได้ๆ ตอนนี้เรทไม่ค่อยดี..เอางี้ ผมให้….”

ต่อจากนั้นก็เป็นกระบวนการชักแม่น้ำทั้งห้าเพื่อให้เราแลกเงินให้ได้ มิวายที่เราจะปฏิเสธก็แล้ว เดินหนีก็แล้ว พี่ก็ยังเดินตามอยู่ ตั้งกะหัวถนนยันท้ายถนน เรียกว่าตื๊อเท่านั้นที่ครองโลกจริงๆ บางรายเราไม่ได้ถามกลับเรื่องเรทแลกเปลี่ยนด้วยซ้ำ พี่ก็เดินตามมาซะไกล ต้องใช้มุขว่าตอนนี้มีเงินแล้ว เอาไว้จะแลกเมื่อไร เดี๋ยวจะกลับมาๆ นั่นแหละถึงจะยอมไป …มีเด็ดกว่านั้น บางเจ้าเห็นเราขอ 1,300 แล้วไม่ให้ เราเดินหนีมาอีกถนนนึง มีการส่งสายอีกคนหนึ่งมายืนดักว่า อ๋ะ..ให้แล้วๆ 1,300 ก็ได้…เอากะเค้าซิ

จริงๆ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ ก็เลือกที่จะแลกเงินกับตลาดมืดนี่แหละ เพราะได้เรทดีกว่า แลกกับธนาคาร หรือตามสนามบินเห็นๆ แต่ความเสี่ยงก็มีสูง ไหนจะตำรวจ ไหนจะเสี่ยงโดนโกง แถมยังต้องทำกันลับๆ ล่อๆ เสี่ยงเงินสูญด้วย แล้วที่พม่านี่รับแต่แบ็งค์ดอลล่าร์ใหม่ๆ เท่านั้นนะ ถ้ามีรอยยับ เก่า หรือขาดปุ๊บนี่ ไม่รับเลย (แต่เงินเค้านี่เก่ามากกกกกกกกก) แต่ถ้าไปถึงโน่นแล้วไม่ได้แลกเงินแบบนี้ก็ถือว่าไปไม่ถึงนะ 555 !! วันหลังๆ เรามีเหตุจำเป็นต้องแลกเงินแบบนี้แหละ แล้วจะเล่าให้ฟังว่ามันปวดกะโหลกขนาดไหน -“-

บรรยากาศบริเวณ แยกสุเลพญา แถวนี้แหละบรรดาหน้าม้ารับแลกเงินเยอะนักเชียว

ตรงหัวมุมถนนนี้ เจอคุณลุงชาวพม่าคนนึงที่ออกมารับแลกเงินเหมือนกัน อัธยาศัยดีมาก แถมพูดภาษาอังกฤษ british accent ซะด้วยนะ ได้ใจเดี๊ยนมากๆ เลยคุยกับหมีไว้ว่า ถ้าต้องแลกเงินอีก จะกลับมาแลกกับลุงคนนี้แหละ

เราเดินผ่านแยกการค้าที่คึกคักด้วยผู้คน ตรงดิ่งสู่ สุเลพญา ราวกับถูกมนต์สะกด ถ้าถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงโรมฉันใด ถนนหลักสายต่างๆ ในย่างกุ้งก็พุ่งตรงเข้าหาสุเลพญาฉันนั้น ถ้าใครไปย่างกุ้งแล้วบอกว่าหาเจดีย์ทองแห่งนี้ไม่เจอ เชื่อว่าเค้าคงนอนตีพุงดูเอเอฟอยู่กรุงเทพแหงๆ ไม่ได้ไปมาหรอก พม่าน่ะ

ต้องยอมรับว่าเราไม่ใช่คนช่างไปวัดไปวา ศรัทธาน่ะมี แต่คงจะเทียบได้กับระดับบัวปริ่มน้ำที่เพิ่งพ้นจากโคลนตมมานิดเดียว แต่พอมาเห็นเจดีย์หุ้มทองทั้งองค์ ใหญ่โตท้าทายสายตาแบบนี้ แถมยังเป็นศาสนสถานแห่งแรกของทริปนี้ที่จะได้เข้าไปสักการะด้วย ก็แอบตื่นเต้นเล็กๆ ไม่ได้

ชาวพม่าเคร่งครัดและศรัทธาในพุทธศาสนามาก กฎสำคัญของผู้ที่ไปเยือนศาสนสถานทุกคนไม่มียกเว้นคือ การถอดรองเท้าก่อนเข้า ไม่ใช่แค่ถอดก่อนขึ้นศาลาวัด หรือเข้าอุโบสถเหมือนบ้านเรา แต่ต้องเริ่มถอดกันตั้งแต่เริ่มเข้าเขตขันธสีมาเลยทีเดียวเชียว

เรากับหมีถอดรองเท้าเอี้ยมเฟี้ยม แบบไม่ต้องมีใครบอกบท เดินทำหน้าเฉยๆ เนียนๆ เข้าไปราวกับเป็นกิจวัตรที่ทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน อ่านหนังสือมาเค้าบอกให้หิ้วรองเท้าใส่ถุงพลาสติกถือเข้าไป ก็กะจะทำแบบนั้นล่ะ ตอนนั้นตั้งใจว่าถ้าทำหน้าตารู้เรื่องๆ จะได้ไม่ต้องเสียตังค์ค่าเข้า แถมดูๆ ไป ประตูฝั่งนี้ก็ไม่มีตู้รับฝากรองเท้าสำหรับนักท่องเที่ยวด้วย

เหมือนโดนตำรวจโบกให้จอดริมทางด่วน แค่เพียง 2 ก้าว เราถูกสกัดด้วยแม่ค้าตรงทางเข้า ที่บอกให้เราวางรองเท้าแอบไว้ด้านข้าง ก่อนยื่นดอกไม้กำใหญ่ พร้อมชุดธูปเทียนเข้ากลางแสกหน้า ลักษณาการชวนให้เข้าใจว่า ทุกคนจำต้องรับของเธอเข้าไปก่อนจะผ่านจุดนี้เข้าไปได้

2 พัน จ๊าดจ้า

โห 2 พันเชียว…เอาวะ ทำบุญๆ นานๆ ได้เข้าวัดเข้าวาซะที … เราควักตังค์ให้ รับดอกไม้พร้อมธูปเทียนมา 2 ชุด

ไม่ใช่จ้า…ชุดละ 2 พัน 2 ชุดก็ 4 พันนะ

โห เว้ยยย … 4 พันเชียว ดอกไม้ 2 ชุด 120 บาท แม่เจ้า..คิดอกุศลในใจในเขตวัดนี่ตีตั๋วตรงดิ่งไปนรกเลยป่าวเนี่ย

เอาฟระ…ทำบุญเว้ย ทำบุญ … ผู้หญิงอีกคนนั่งอยู่ทางด้านขวามือ คอยส่งไฟแช็คให้

รูปแบบผังเจดีย์ในพม่าจะคล้ายกันหมด ก่อนถึงองค์เจดีย์ เราจะต้องผ่านซุ้มหรือศาลาสี่ทิศ ซึ่งเป็นที่ที่ผู้คนมาไหว้พระ หรือนั่งสวดมนต์ทำสมาธิก่อน

ซุ้มฝั่งที่เราเข้ามา มีคนพม่านั่งไหว้พระบ้างสวดมนต์อยู่ก่อนแล้ว เราจึงนั่งลงบ้างและเริ่มพิจารณาของในมือ ดอกไม้กำใหญ่ ประกอบด้วยทั้งดอกบัวหนึ่ง ไม้ดอกไม่รู้สัญชาติอีกหนึ่งกำ ไม้ใบเขียวล้วนๆ หนึ่งกำ กับพวงมาลัยอีกหนึ่ง ไม่รวมธูปที่มากันทั้งห่อ ของเราสีเงิน ส่วนของหมีสีทอง

ให้ตายเถอะ..แล้วพระพม่า เค้าไหว้กันยังไงฟะเนี่ย

เด็กหนุ่มพม่าอายุราวต้น 20 ที่ยืนอยู่ก่อน เดินเข้ามาหาพวกเราอย่างเป็นมิตร

“ดอกบัวนี่เอาไว้ในแจกันครับ ส่วนพวงมาลัยเอาไหว้รวมกันกับธูปได้”

“แล้วเค้าไหว้ธูปกันกี่ดอกคะ”

“แล้วแต่ครับ จุดหมดนี่ก็ได้”

หมดห่อนี่หมายถึงธูปกว่า 20 ดอกเลยนะ…ดีนะที่มีไฟแช็ค …

ในขณะที่เราเพียรพยายามจุดธูปอย่างตั้งใจ เด็กหนุ่มก็เริ่มชวนคุย … มาจากประเทศไหน..ไปเที่ยวไหนมาแล้วบ้าง…เนี่ยเค้าอยากฝึกภาษาอังกฤษ..แล้วตอนนี้ก็กำลังเรียนไกด์อยู่…ฯลฯ

เรารู้ว่าไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะมีคนเข้ามาชวนคุยตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ หลายๆ ที่ที่เราไปมาคนเดียวก็มักจะเป็นเช่นนั้น แต่ครั้งนี้เรามากับหมี เราสังเกตว่าผู้คนดูจะพุ่งตรงเข้ามาหาเรามากกว่าปกติ หลายคนมาเพียงเพราะอยากเป็นมิตร แต่หลายครั้งเช่นกันที่ตั้งใจมาเพราะต้องการอะไรบางอย่างโดยเฉพาะ แรกๆ ต้องยอมรับว่าความระแวงของเราสร้างเกราะในจิตใจไว้เป็นพิเศษ ที่สุเลพญา เรายังคิดว่าหนุ่มน้อยคนนี้อาจเป็นหนึ่งในบรรดาคนที่ชอบเข้ามาคุยกับนักท่องเที่ยวเพื่อหวังผลประโยชน์บางอย่าง เราจึงเพียงแต่ยิ้มให้ และทิ้งหน้าที่การคุยตอบคำถามส่วนใหญ่ให้หมีแต่เพียงผู้เดียว

ไหว้พระเสร็จ เด็กหนุ่มขอตามมาด้วยเพื่อพาชมรอบๆ
โชคดีที่ฝนเพิ่งตกไป พื้นกระเบื้องหินอ่อนจึงไม่ระอุความร้อนอย่างที่ปกติน่าจะเป็น



บริเวณรอบๆ สุเลพญา … เบาะสีเขียววางบนพื้นสำหรับนั่งสวดมนต์… บ่ายวันนั้นมีชาวพม่ามากราบไหว้เจดีย์กันพอสมควร


สุเลพญา หรือ สุเลเจดีย์ … สถูปทรงแปดเหลี่ยมสีทองอรชรอันเป็นหัวใจของกรุงย่างกุ้ง สูง ๑๕๗ ฟุต ภายในบรรจุพระเกศาธาตุ (ข้อมูลมาจากหนังสือคนอื่นล้วนๆ ฮ่ะ)


หงส์เป็นสัญลักษณ์ของชนชาติมอญ ที่พบเห็นได้ตามวัดทั่วไป … ในรูปนี้คือเรือหงส์ที่ผูกติดกับยอดเจดีย์สุเล สำหรับชักรอกขึ้นไปปิดทองที่องค์พระเจดีย์ โดยจะมีคนที่อยู่ด้านบนมารับเอาทองไปปิดให้อีกที ..วิธีการเก๋กู้ดมากๆ (ถ่ายออกมาดูที่บ้าน ปรากฎเป็นมุมเดียวกับของพี่ผึ้งเป๊ะ ..อันนี้มะได้ตั้งใจจริงๆ นะค้าาา)


ชาวพม่ามีความศรัทธามาในพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง ทุกๆ วัดที่เราไป จะเห็นชาวบ้านมานั่งทำสมาธิ สวดมนต์ตามมุมต่างๆ ของ เจดีย์ อยู่ตลอด


รอบองค์พระเจดีย์ จะมีซุ้ม 8 ทิศ ประกอบไปด้วย พระพุทธรูปประจำวันเกิด สัตว์มงคลประจำวัน และขันน้ำสำหรับสรงน้ำพระ ในรูปคือพระพุทธรูปประจำวันอังคาร


สิงห์..สัตว์มงคลประจำวันอังคาร


วิธีการนมัสการพระเจดีย์ นอกจากไหว้พระประธานที่โถงประจำทิศแล้ว ก็คือการจุดธูปเทียนบูชาพระประจำวันเกิด ถวายดอกไม้ จากนั้นสรงน้ำพระพุทธรูป และสัตว์มงคลเท่าอายุ และบวกไปอีกหนึ่งเพื่อความเป็นสิริมงคล … คุณตาคนนี้ตักน้ำสรงน้ำพระอยู่นานเลยทีเดียว
เวลาฝรั่งไปเที่ยวตามวัดพุทธ แล้วอยากจะทำมั่ง ก็จะเกิดอาการสับสนกับชีวิตมาก เพราะน้อยเหลือเกินที่จะรู้ว่าตัวเองเกิดวันไหน
หนุ่มน้อยไกด์ฝึกหัดเดินตามเรารอบองค์เจดีย์ และชักชวนให้เข้าไปชมศาลาต่างๆ ที่อยู่รายรอบ พร้อมพยายามอธิบายเกร็ดต่างๆ อย่างตั้งใจ เราสังเกตว่าเกือบทุกศาลาจะมีคนพม่าไปนอนพักผ่อนหลับกันเป็นจริงเป็นจัง คนไหว้พระสวดมนต์ก็สวดไป ใครง่วงก็หลับซะตรงนั้น เออ วัดที่นี่เค้าใจดีจังแฮะ ไกด์หนุ่มเห็นเราสงสัยเลยบอกว่า เค้าไม่ได้ให้นอนถาวรหรอก สงสัยแค่มาพักคลายร้อน เย็นๆ ก็ต้องกลับออกไปแล้วล่ะ


หนึ่งในวิหารที่อยู่รายรอบพระเจดีย์ คือที่ตั้งของรูปปั้น “นัต” ภูตผีศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่เคารพดั้งเดิมของชนชาวพม่า ก่อนที่จะหันมานับถือพุทธศาสนา แม้ในปัจจุบัน ผู้คนก็ยังคงนับถือ นัต ควบคู่กับการสักการะและประกอบพิธีกรรมในศาสนาพุทธ นัตที่เป็นที่นับถือกันดั้งเดิม มี 36 ตน ในรูปคือ โบโยยีนัต หรือเทพทันใจ เชื่อว่าขอสิ่งใดแล้ว จะสัมฤทธิ์ผลในเร็ววัน ศาลานี้คึกคักมาก มีชาวบ้านมาทำพิธีอธิษฐานอยู่เป็นระยะๆ
บรรยากาศภายนอกบริเวณสุเลเจดีย์ รอบๆ เป็นร้านรับถ่ายรูป ล้างรูปเรียงเป็นแถว


แผ่นป้ายทะเบียน ท้ายรถเมล์เล็ก


ร้านรับตัดและประกอบแว่นสายตา

เที่ยวพม่าตั้งแต่วันแรกจนวันสุดท้าย ประสบการณ์ไฮไลท์อย่างนึงที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ การโดนจ้อง โดนมอง ด้วยสายตางุนงง สงสัย ใคร่รู้ จากชาวพม่าเจ้าของประเทศนี่แหละ

แรกๆ เดินออกมาก็ยังไม่ค่อยรู้ตัวเท่าไร คิดเดาเอาว่าสงสัยเค้ามองนักท่องเที่ยว แบบคนไม่เคยเห็นหน้าก็เท่านั้น แถมไอที่ที่เราไปเดิน มันก็เป็นตามตรอกซอกซอย ที่ชาวบ้านเค้าอยู่กัน เค้าก็คงมองดูด้วยความแปลกใจเท่านั้น

แต่เดินมาย่านชุมชนก็แล้ว สายตาที่จับจ้องมองเราก็ยังไม่ลดปริมาณลง แถมเค้าไม่ได้แอบมองด้วยนะ เค้ามองกันตรงๆ นี่แหละ บางคนมองไล่จากหัวจดเท้าก็มี บางรายหนักข้อยิ่งกว่านั้น เดินสวนกัน มีการหันหลังกลับมามองซะอีกแน่ะ

หลายชั่วโมงผ่านไป เราเริ่มสังเกต เฮ่ย เค้ามองเราฟร่ะ ไม่ได้มองหมี
ชักสงสัย ก้มมองตัวเอง..เอ..หรือเราแต่งตัวโป๊ฟระ….ไม่ใช่ข้อนี้แน่ๆ ..เราใส่เสื้อยืดธรรมดา ใส่กางเกงเลเอวยางยืดตัวใหญ่เลยเข่า คล้ายๆ ผ้าถุง

เอ…หรือว่า…เราสวย!!??!!
ใช่แน่ๆ ต้องเป็นข้อนี้ แหงมๆ … เออเว้ย ..เค้าอาจจะชอบของแปลก…หรือจะมาตั้งรกรากเป็นดารา ทำมาหากินซะที่นี่เลย 555 😛

มาถึงบางอ้อ เอาตอนแวะกินน้ำ ที่ร้านน้ำชาข้างทางนี่แหละ …

เดินมากันทั้งวัน จนหัวมันผมฟู วินาทีนั้นไม่อยากได้อะไรในชีวิตมากไปกว่าโค้ก เย็นๆ สักแก้วอีกแล้ว

ตามคาด..พอนั่งลงปั๊บ สายตาอยากรู้ อยากเห็น สงสัยจริงจัง กว่าหลายสิบคู่พุ่งตรงมาที่เรา มองเสร็จมีการหันไปสะกิดกันให้ดูอีกแน่ะ ..555…

น้องเด็กเดินเข้ามารับออเดอร์ … เราถามว่ามีโค้กมั้ย
น้องเด็กทำหน้างง ไม่เข้าใจ

อ่ะ..สตาร์โคล่า มีมั้ยคะ
น้องเด็กยังคงไม่เก็ท …มองหน้าเราแบบ ไม่เข้าใจว่าเราจะพูดภาษาอังกฤษทำไม ..ก่อนพูดอธิบายอะไรสักอย่างเป็นภาษาพม่าล้วนๆ

ตอนนี้ถึงคราวเรางงมั่ง…ได้แต่ใบ้แดก ทำไม้ทำมือว่าช้านนนไม่รู้เรื่อง

น้องเด็กวิ่งจู๊ด เข้าไปในร้าน คราวนี้พาน้องวัยรุ่นคนนึงออกมาด้วย ไม่ได้ช่วยอะไรมากเพราะน้องเค้าก็ไม่พูดภาษาอังกฤษเหมือนกัน แต่อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเค้าไม่มีน้ำอัดลมขาย

สุดท้ายเราสั่งกาแฟ ไปอย่างละถ้วย

ท่ามกลางอากาศร้อนเหงื่อแตกของกรุงย่างกุ้งในตอนนั้น เราสองคนนั่งจิบกาแฟร้อนอย่าง งง งง…เอาวะ..เอาบรรยากาศ!!

ทันใดนั้น..หมีก็ตบเข่าฉาด .. รู้แล้ว!!!
รู้อะไร ?? ตกใจหมด..อยู่ดีๆ ก็ตะโกนออกมา
ที่เค้ามองเราน่ะ ไม่ใช่เพราะเราเป็นฝรั่งหรอก ..เค้ามองมันชกิ้นต่างหากล่ะ….
อันนั้นอ่ะ เห็นกันชัดๆ อยู่แล้ว…ว่าแต่จะมองทำไมอ่ะ…ไม่เข้าใจ
ก็เค้าคิดว่ามันชกิ้นเป็นคนพม่าไง .. ทีนี้เค้าก็สงสัยว่าผู้หญิงพม่าหน้าตาบ้านขนาดนี้ มาเดินกับฝรั่งทำไม ..มันต้องมีอะไรแน่เลย..สงสัยทีนี่คงเป็นเรื่องไม่ปกติ ..

อ๋อออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออออ..แหงๆ เลย..มิน่าล่ะ เค้าถึงพูดภาษาพม่ากับเราใหญ่เลย แถมบางครั้งยังรู้สึกว่าโดนคนแก่มองแปลกๆ ..แต่อะไรฟะ เราเดินถือไกด์บุ้คออกขนาดนี้ แถมถ่ายรูปอีก มันจะดูไม่ออกเลยรึว่าชั้นเป็นนักท่องเที่ยว….เออ ดีๆๆ คิดกันให้ตลอด ตอนเข้าวัดจะได้ไม่ต้องเสียตังค์ 555


พม่าน่าจะเป็นหนึ่งในชนชาติที่มีอารมณ์สุนทรีย์ในการสนทนาพร้อมการดื่มชาไม่น้อย เพราะตลอดทั้งวัน ไม่ว่าเราจะไปที่ไหน ตามสองข้างทางก็จะเห็นร้านขายน้ำชา กาแฟ แบบดั้งเดิมที่มีโต๊ะและเก้าอี้เตี้ยตัวจิ๋ว ถูกจับจองไปด้วยลูกค้าจนแน่นอยู่เสมอ บางครั้งเราก็เห็นคนทำงานเอาปิ่นโตที่เตรียมมาจากบ้าน มานั่งกินกันตามร้านเหล่านี้ เป็นภาพที่น่ารักน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว

ดื่มกาแฟ ให้เหงื่อแตกซิกๆ กันพอประมาณ แล้วก็จ่ายเงินออกมา กาแฟถูกมาก แก้วละ 200 จ๊าดเท่านั้น

หลังจากไปเดินหลงอยู่ในตลาดตรงข้าม โบ๊กโจ๊กอองซานเอาอยู่ครึ่งชั่วโมง เป้าหมายต่อไปของเราคือ พระมหาเจดีย์ชเวดากอง พระเจดีย์ทองคู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งของพม่า

ไม่รีบร้อนอะไร เราตัดสินใจเดินชมบ้านชมเมืองกันไปชิลๆ จากบริเวณสุเลพญาไปจนถึงพระเจดีย์ ใช้เวลาเดินกันไปเกือบชั่วโมงเท่านั้น (ก็บอกแล้วว่าชิล) อยากรู้ว่าไกลแค่ไหน ก็ดูแผนที่เอา เจดีย์สีทองล่างสุดคือสุเลพญาค่ะ

ระหว่างทางก็ชมอาหารตา ชมบ้านชมเมืองไปตามเรื่องตามราว
ช่วงประมาณ 4 โมง 5 โมง หน่วยงานราชการเลิกงาน เจ้าหน้าที่หญิงชายในชุดยูนิฟอร์ม เสื้อขาว โสร่งเขียว คาดว่าจะเป็นข้าราชการของกรมใดกรมหนึ่ง เดินเรียงออกมากันเป็นแถว


ยูนิฟอร์ม มาพร้อมกระเป๋าถือเป็นเซ็ทเข้าชุดกัน

ที่พม่ามีพระเยอะมาก เห็นท่านเดินกันจีวรปลิวตลอดวัน สีจีวรจะออกเป็นสีกลักแดงแบบพระสายมอญ เข้มกว่าพระบ้านเรา ข้อน่าสังเกตอย่างนึง คือพระเณรที่นี่เดินกันไม่กลัวชนสีกาเอาซะเลย อันนี้เห็นท่านว่าเป็นเรื่องของจิต หากไม่มีเจตนา มิได้คิดมัวหมอง ถึงจะโดนสีกาบ้างก็ไม่ถือว่าศีลขาด

มิน่าล่ะ ตอนทางไปชเวดากอง เราเห็นพระบางรูปเดินจูงมือน้องเด็กผู้หญิงด้วยซ้ำ … ท่านไม่ถือ แต่หนูถือนี่คะ
เดินสวนกันตามถนนที เล่นเอาตกใจ ถ้าไม่ทำตัวลีบติดข้างฝา ก็แทบจะกระโดดออกไปให้รถชน แหะๆ

ถนนที่นำเรามุ่งหน้าสู่พระมหาเจดีย์ชเวดากองมีถึง 4 ด้าน 4 ทิศทาง เราเดินตามถนนเส้นใหญ่ ร่มรื่นด้วยเงาไม้ตามสองข้างทางไปอย่างใจเย็น ยอดพระเจดีย์ทองขนาดมหึมาที่เห็นได้แต่ไกล กระทบแดดยามอัสดงดูมลัง
เมลือง ยืนยันว่าเราเดินมาถูกทางแล้ว

แต่พอเดินมาในระยะใกล้ขึ้น ก็มีอันต้องงเต็ก…เบื้องหน้าเราคือพระเจดีย์ทองขนาดใหญ่ ด้านหน้าเป็นสิงห์ขนาดยักษ์เฝ้าทวารบาลอยู่

ส่วนขวามือของเรานั้นเล่า เจดีย์ทองสง่างาม ใหญ่โตอลังการไม่แพ้กัน ส่องประกายสะท้อนแสงแดดอยู่ไหวๆ เหวย…แล้วอันไหนล่ะ ชเวดากองของแท้

คุณลุงชาวพม่าเดินตีคู่มากับคุณป้ามาแต่ไกล ในมือของคุณลุงมีพวงมะลิสีขาวส่งกลิ่นหอม ท่าทางคุณลุงจะมานมัสการพระเจดีย์ใดเจดีย์หนึ่งเป็นแน่แท้

เอ่อออ…อันไหนคือ ชเวดากองหรอคะ … ถามกันซื่อๆ อย่างงั้นเลย..ก็คนมันไม่รู้จริงๆ

คุณลุงชี้มือไปพระเจดีย์เบื้องหน้าของเรา อะฮ้า ข้อสันนิษฐานของเราเป็นจริง

งั้นแล้วอันนี้ล่ะคะ…เรายังไม่วาย ถามถึงเจดีย์ทองปริศนาที่ทำเอาเราสับสน

อ๋ออออ…อันนั้นน่ะ มหาวิชยเจดีย์ !!

โอว..รอดตัวไป .. ถึงจะเคยเห็นรูปพระเจดีย์ชเวดากองมาบ้างแล้ว แต่พอมาถึงที่เอาเองจริงๆ ก็มิสิทธิ์สับสนกันง่ายๆ

มหาวิชยเจดีย์ ตั้งอยู่ทางด้านประตูฝั่งทิศใต้ของ พระเจดีย์ชเวดากอง ถึงแม้จะเพิ่งสร้างเอาทีหลัง เมื่อปี พ.ศ. 2523 เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นเอกภาพของพุทธศาสนาสายเถรวาท แต่ความสวยงาม และยิ่งใหญ่อลังการในความรู้สึกนั้น เราว่าไม่เป็นรองเจดีย์ใดในพม่าเลยทีเดียว


อีกมุมหนึ่งของมหาวิชยเจดีย์

ประตูทางเข้าพระมหาเจดีย์ชเวดากอง ทางฝั่งทิศใต้ ใหญ่แค่ไหน ลองเทียบขนาดรถ กับพระเจดีย์ดูเอา

เมื่อยแล้ว…เรากับหมีนั่งแปะ ดูแผนที่..จะไปไหนกันต่อดี

ถ้าเข้าไปนมัสการชเวดากอง ต้องเสียค่าเข้าคนละ 7,000 จ๊าด แล้วก็ใกล้จะมืดแล้วด้วย

ยังไม่เข้าดีกว่า…เราตัดสินใจหาอะไรกินรองเท้า นั่งดูผู้คน ผ่านไปมาเล่นๆ กันก่อน

ฝั่งตรงข้ามมหาวิชยเจดีย์ มีร้านขายก๋วยเตี๋ยวสีหวาน เราสั่งโค้กกระป๋องหนึ่ง ก๋วยเตี๋ยวผัดหนึ่ง ค่าโค้กปกติ ที่ราคา 800 จ๊าด…แต่โดนโขกค่าก๋วยเตี๋ยวไปในราคาน่าเจ็บใจ แต่เป็นนักท่องเที่ยวก็อย่างนี้แล เราก้มหน้าก้มตาจ่ายตังค์ไป ก่อนบอกให้คนขายช่วยเรียกแท็กซี่ไป กันดอว์จี เลค ตั้งใจว่าจะไปกินข้าว ดูพระอาทิตย์ตกดินกันที่นั่น

คนขายบอกค่าแท็กซี่ 2000 จ๊าด เป็นราคาปกติ … เอ้า..ไปก็ไป

ไม่อยากจะบอกว่าก่อนกระโดดขึ้นแท็กซี่ เราเห็นคนขับแอบส่งเงินให้พ่อค้าด้วย..อะโห..มีค่าคอมด้วยแฮะ

แท็กซี่ในพม่าน่าสังเกตอย่างนึง..นอกจากคนขับแล้ว หลายครั้งเราจะเห็นคนนั่งคู่คนขับในด้านหน้าของรถด้วย นัยว่านั่งเป็นเพื่อนมาด้วยกัน หรือบางทีก็เป็นภรรเมียคนขับนั่นแล … เรียกว่าไปไหนชั้นไปด้วย..เรื่องที่จะมาอ้างว่า ไม่มีลูกค้าแล้วเอาเงินไปลงขวดนั้น..ลืมไปเสียเถอะ !! เอิ๊กๆ

กันดอว์จีเลค เป็นทะเลสาบฝีมือมนุษย์ อยู่ห่างจากชเวดากองไม่ไกลมาก ถ้าเดินเร็วๆ ไม่เกิน 20 นาทีก็น่าจะถึง แต่ทะเลสาบก็กว้างมากจนเรานึกดีใจที่เรียกแท็กซี่มา ในนี้มีร้านอาหารน่าสนใจอยู่หลายแห่ง วิธีที่ดีที่สุดน่าจะเป็นการให้แท็กซี่ขับวนรอบนอก จนกว่าจะเจอร้านที่ถูกใจ

เราเมียงๆ มองๆ อยู่หลายที่ ในที่สุดก็บอกให้พี่คนขับ จอดที่ประตูด้านนึง

เราเดินผ่านประตูเข้าไป กะว่าน่าจะเป็นทางเข้าร้านอาหาร …มีเจ้าหน้าที่เข้ามาเก็บค่าผ่านประตูคนละ 300 จ๊าด

ปรากฎว่ามันคือ….สวนสัตว์!!! กร๊ากๆๆๆๆ เดินกันอีท่าไหนฟะเนี่ย

ที่มุมด้านหนึ่งเลยทางเข้ามาไม่นาน มีวงดนตรีมาเล่นเพลงโฟล์คซองฝรั่งด้วยนะ แต่คนร้องก็ยังนุ่งโสร่งเหมือนเดิม เก๋กู้ดสุดๆ

เดินผ่านหน้ากรงนี้ เห็นรูปปั้นน้องหมี…มันต้องเป็นกรงหมีแน่ๆ ..ว่าแต่..หมีอะไรอ่ะ

พอมองเข้าไป..อ้าว เฮ่ยยยย…นั่นมัน…เซนต์เบอร์นาร์ด…หมานี่หว่า!!! เอ๊ะ..หรือที่พม่าไม่มีหมาฝรั่ง…เค้าเลยเอามาใส่กรงไว้ให้ดูในสวนสัตว์

อะจ๊ากกกก..กรงนี้เด็ดสุดๆ ได้ความมาเฉลยว่า นอกจากหมาแล้ว..ในกรงที่เราเดินผ่านมาก็น่าจะมีหมีเช่นกัน….เห็นแล้วก็ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าทำไม เค้าถึงเอาหมีมาอยู่กับหมา

หรือว่ามันเป็นเพื่อนกัน

หรือว่าเอาหมาไว้เฝ้าหมี

หรือ….

โอย..ไม่รู้แฮะ…เราหันไปถามคนพม่าที่มาดูเหมือนกัน…สื่อสารกันไม่รู้เรื่อง แต่จากอาการงง งง ของเค้า ท่าทางจะไม่รู้สาเหตุเหมือนกัน…ได้แต่พกความสงสัยกลับมาเมืองไทย…ใครรู้ช่วยบอกทีนะคะ !!!

บรรยากาศที่ กันดอว์จี เลค สงบและน่ามานั่งอ่านหนังสือเล่นมากๆ เราเดินมาเรื่อยๆ มาเจอเอาฉากพระอาทิตย์ตก โดยมีพระเจดีย์ชเวดากองเป็นแบ็คดรอปอยู่ข้างหลัง…อลังการ

คู่นี้เค้ามาโรแมนติคกันอยู่ริมทะเลสาบ..โรแมนติคมั่กๆ

เรือการเวก…หนึ่งในภัตตาคารไฮโซ ที่ด้านทิศตะวันออกทะเลสาบกันดอว์จี …จำลองมาจากแบบเรือพระที่นั่งในพระราชพิธีพยุหยาตราทางชลมาครของกษัตริย์พม่าแต่เก่าก่อน สร้างตั้งแต่ปี 2513 บรรยากาศดี มีนักท่องเที่ยวกรุ๊ปทัวร์เป็นลูกค้าหลัก อาหารที่นี่เห็นว่าเป็นบุฟเฟท์ ราคาต่อหัวไม่แพงมาก แถมมีนาฏศิลป์พม่าให้ชมพร้อมอาหารค่ำด้วย เป็นอีกหนึ่งโปรแกรมที่น่าลองดูอย่างยิ่งในย่างกุ้ง

เดินกันอยู่ดีๆ ..หมีเกิดนึกขึ้นมาได้ว่าลืมร่มไว้ที่ มหาวิชยเจดีย์ …ตายละวา..ร่มยื้มเค้ามา..ทำไงดี

อดกัน..ท่าจะไม่ได้กินแล้วงานนี้ ..เรารีบเรียกแท็กซี่กลับไปที่เดิม บนภารกิจค้นหาร่มที่หายไป…คิดในแง่ดี…ของที่ลืมไว้ในเขตวัด..ไม่น่าจะมีคนเอาไปเนอะ…

เอิ๊กๆๆ คิดผิดคิดใหม่ได้นะ..เรากลับไปที่หน้าพระเจดีย์ ตรงจุดที่คาดว่าน่าจะลืมร่มไว้…ร่มเอย อันตรธานไปไหนเสียแล้ว !!

เอาเถอะ….กลับมาทันเห็นตอนแสงอาทิตย์ลำสุดท้าย ตกต้องเจดีย์ทองพอดี ..เรืองรองอร่ามตา จนแทบลืมหายใจไปชั่วครู่หนึ่ง

มุมด้านหน้ามหาวิชยเจดีย์ ไฮไลท์ของเราในวันนี้ บรรยากาศยามเย็นคละเคล้าด้วยเสียงสวดมนต์จากเครื่องขยายเสียงไปทั่วบริเวณวัด สร้างความขลังยิ่งขึ้น

ที่ลานกว้าง ภายในบริเวณมหาวิชยเจดีย์

ถึงจะเป็นเจดีย์ใหม่เมื่อเทียบกับเจดีย์อื่นๆ แต่ความปราณีตงดงามแห่งฝีมือเชิงช่างเรียกว่าไม่เป็นรองที่ใดเลย

แสงอาทิตย์เริ่มลาลับขอบฟ้า เราตัดสินใจเข้าไปสักการะพระมหาเจดีย์ชเวดากอง

บริเวณด้านนอกทางเข้าพระเจดีย์ ทางด้านซ้ายมือคือวิหารโถง หนึ่งในสี่ด้าน วิจิตรตระการตาด้วยทอง ทอง และทอง (เอ ท่าทางเราจะงกนะเนี่ย)

หนุ่มสาวชาวพม่ายังคงทยอยเข้ามานมัสการพระเจดีย์เป็นระยะ

ฟ้าเปลี่ยนสี ที่มหาเจดีย์ ชเวดากอง

แค่เพียงด้านนอก ก็สัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่แห่งศรัทธา

บริเวณวิหารโถง ทางขึ้นพระเจดีย์ เสาและเพดานยิ่งใหญ่อลังการ น่าจะทำด้วยไม้สัก แกะสลักอย่างงดงาม สองข้างทางคือร้านขายของที่ระลึกเรียงรายไปตลอดทาง

เราเดินขึ้นไปจนถึงชั้นบนสุด ค่ำแล้ว นักท่องเที่ยวบางตา แต่คนพม่ายังคงเดินทยอยเข้ามาไหว้พระกันเป็นกิจวัตร

ก่อนถึงบันไดขึ้นชุดสุดท้าย มีซุ้มเก็บค่าผ่านประตู เราพยายามทำหน้าตาเนียนๆ เป็นพม่าเดินเข้าไป…แต่ไม่สำเร็จ…เจ้าหน้าที่เดินตรงรี่เข้ามา…ทียังงี้ล่ะ ไม่เห็นมีใครคิดว่าชั้นเป็นพม่า…เจ็บใจจริง

ค่าเข้าสถานที่ คนละ 7,000 จ๊าด.. 2 คน ก็หมื่นสี่…เราพยายามต่อรองลดราคา แต่ไม่ประสบผลสำเร็จ

หันมาปรึกษากันว่าเอาไงดี ฝนก็ตั้งเค้ามาทำม่าจะตกอีกครั้ง…. เรามาคิดดูว่าบัตรเข้าชมนี้ใช้ได้ทั้งวันตั้งแต่เช้าจนค่ำ ..ถ้าเข้าไปแล้วอยู่ได้แป๊บเดียวก็เสียดายแย่ เอาไว้เรามาดูวันสุดท้ายที่กลับมาย่างกุ้งอีกครั้งดีกว่า…จะได้แสงหลายๆ แบบ…โอว..เชื่อแล้วว่าชั้นงกจริง

หนึ่งในสิงห์ทวารบาล ทางขึ้นพระเจดีย์

เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า กลับมาพักผ่อนที่โรงแรม…หลับเอาแรงไปได้จนถึงสามทุ่มกว่า ก็ต้องตื่นขึ้นมาเพราะหิวข้าว

เราทั้งปลุกทั้งแงะให้หมีตื่นขึ้นมา ไป..ไปหาข้าวกินกัน

หาข้าวกินที่ย่างกุ้งหลังสามทุ่มไม่ใช่เรื่องสนุกเลย นอกจากไฟที่ลอดออกมาจากอาคารและตึกรามบ้านช่องแล้ว ถนนเกือบจะมืดสนิท

ป้ายกำกับ: ,

12 ความเห็น to “พระยาน้อยชมตลาด”

  1. Nice weblog right here! Additionally your web site lots up fast!

    What web host are you the use of? Can I am getting your affiliate link to your
    host? I wish my web site loaded up as quickly as yours lol

  2. Good day I am so thrilled I found your webpage, I really
    found you by error, while I was researching on Askjeeve for something else, Anyways I
    am here now and would just like to say kudos for a marvelous post and a all
    round interesting blog (I also love the theme/design), I don’t have
    time to go through it all at the minute but I
    have book-marked it and also included your RSS feeds, so when I have time I
    will be back to read a lot more, Please do keep up the
    fantastic job.

  3. กำลังจะไปเดินเที่ยวสัปดาห์หน้าครับ ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆ

  4. ผมเข้าออกพม่า เกือบ 2 ปีแล้ว การแลกเงินไม่เห็นต้องหลบ หรือซ่อนเลย ที่ตลาดมืด (สก๊อตมาร์เก็ต เราเรียกตลาดอองซาน หรือ บูโยกมาร์เก็ต การแลก ต้องเดินหลาย ๆ รายหน่อย แขกขาวแก่ ๆ ขาเข้าเดินเข้าไป 30 เมตร ขวามือ ขูดเลือดชะมัด อย่าไปแลก นะ ควรเดินไปด้านหลังที่ขายผ้า หรือรองเท้า จะดีกว่า เรทต่างกัน เป็น พันจ๊าด ว่าง ๆ จะมาเล่าให้ฟังใหม่

  5. ผมเช็คกับรูปวิดีโอใน youtube ที่http://www.youtube.com/watch?v=LymH0aPenBM

    ภาพแยกสุชลกัลยาที่เจอลุงพูดภาษาอังกฤษดี ๆ คือแยกที่ตากล้องญี่ปุ่นถูกทหารพม่ายิงตาย ตอนปราบปรชาชนเดือนกันยา ครับ ลองดูเทียบกันดู

  6. น่าสนุกจัง..จะเที่ยวกันทั่วโลก..เลยป่ะค่ะ

  7. กร๊ากกกกก โดนหลอกค่าก๋วยเตี๋ยวเหมือนตูเลย 5555
    ไอ้หมูจิ้มๆนี่นะ ถ้าคนกันเองก็ว่าไปอย่าง
    ลองคิดภาพดิ ใครต่อใคร มานั่งจิ้ม กินไปครึ่งไม้ อะชะๆๆ ขอน้ำจิ้มอีกหน่อย
    เอ้า เอาหมูลงไปจุ่มต่อ แล้วเราก็จุ่มตาม แหม อาหร่อย หยึย ๆ

  8. แวะมาถอดรองเท้าแตะทิ้งไว้อีก 1 คู่

  9. กรี๊ด…ทำไมหมากับหมีอยู่ด้วยกัน
    มันเป็นเพื่อนกันเหรอ สะดุดใจดิชั้นสุดๆ
    แต่บรรยากาศหลังฝนตกน่าเดินเล่นมาก
    ถ้าแดดใสๆ เมืองนี้คงขึ้นกล้องไม่ใช่เล่นนะเนี่ย
    เออ..ว่าแต่อาหารอินเดีย อร่อยจริงๆเหรอ
    เหอ เหอ..หรือเพราะหิว

  10. ไอ้เจ้าหมูเสียบไม้จิ้มจุ่มเนี่ย เราเคยเจอที่ในตลาด สังขละบุรี ค่ะ ที่นั่นคนมอญ เยอะ ใจไม่กล้าเหมือนกันเลยไม่ได้ลอง แต่ให้เพื่อนชิมแทนค่ะ รสชาดเหมือนกับ ขาหมูพะโล้เลย ไม่รุ้จะเหมือนประเทศต้นตำรับรึป่าว แต่คงใกล้เคียงค่ะ

    ออ รูปเยอะดีจัง ท่าทางอากาศเย็นสบายน่าดูเนอะ

ส่งความเห็นที่ walkonthesideway ยกเลิกการตอบ