ฟ้าสางที่ย่างกุ้ง

Day 1 : กรุงเทพ-ย่างกุ้ง

อรุณรุ่ง ณ ดินแดนเจดีย์ทองคำ

เสาร์ที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๕๐

ตีห้าครึ่ง…แท็กซี่เขียวเหลือง จอดแทบบาทวิถีหน้าอาคารผู้โดยสาร

หมีลากกระเป๋า เราแบกเป้…หนึ่งหมี หนึ่งคน พาร่างกายอันอ่อนล้า กับขอบตาลึกโหล มาเช็คอิน ที่สนามบินสุวรรณภูมิ วันนี้เจ้านกเหล็กใครๆ ก็บินได้ จะพาเราบินลัดฟ้า ข้ามผ่านพรมแดนเหนือสุดแดนสยาม สู่พุกามประเทศอาณาจักร ดินแดนที่เคยได้รับสมญานามว่า..ฤาษีแห่งเอเชีย

ต่อแถวเช็คอินช่อง E-15, 16 ด้วยอาการสลึมสลือสุดๆ เมื่อคืนไปรับพาสปอร์ตคืนที่ข้าวสาร ก็มัวแต่ชิล ห้าทุ่มกว่าแล้ว ทั้งหมีทั้งคนยังไม่มี ดอลล่าร์ติดตัว ร้านรับแลกเงินพร้อมใจกันปิดกลับบ้านนอนหมดแล้ว เลยต้องนั่งแท็กซี่ข้ามเมืองไปสุขุมวิท ซอย 5 แลกเงินเสร็จ กว่าจะวิ่งไปแพคของบ้านหมี กลับมาเก็บกระเป๋าที่บ้านเรา อาบน้ำเข้านอนเสร็จสรรพ ก็แทบจะกลายร่างเป็นหมีแพนด้า

ขึ้นเครื่องได้ก็ตั้งใจจะหลับอย่างเป็นทางการ บินแค่ชั่วโมงนึงก็ขอหน่อยเถอะ

ยังไม่ทันได้หลับสมใจ ก็ถูกปลุกขึ้นมากรอกใบแบบฟอร์มเข้าเมือง…ไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่มีถึงสามด้วยกัน

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

คุณมีอะไรต้องสำแดงหรือไม่… อืม คอนเน่ชีส นี่คงไม่ต้องหรอกนะ

คุณมีเงินติดตัวเกิน 2,200 ดอลลาร์ หรือไม่…หันไปถามหมี ตายแล้ว นี่เรามีเกินรึเปล่าเนี่ย … หมีหันมาค้อน… ได้ข่าวว่า ตัวเองมีแค่ ร้อยดอลล์เองไม่ใช่เหรอ … แป่ววว จ้ะไม่ถามแล้วจ้ะ

อาชีพ…copy wr… อูยยย เกือบไปแล้ว … ตอนขอวีซ่าก็เนียนๆ ไปทีนึงแล้ว นี่กลัวเค้าจะไม่ให้เข้าประเทศถึงขนาดว่า ไม่ยอมใส่อะไรที่เกี่ยวกับเรื่องขีดๆ เขียนๆ เลยนะเนี่ย เดี๋ยวเค้าเข้าใจว่าเป็นนักข่าว จะพาถูกส่งตัวกลับเอา … อะ ก็เป็น office assistant ต่อไปละกัน

ที่พักในพม่า…เขียนว่าเกสท์เฮาส์โลดค่ะ

บุคคลที่รู้จักในพม่า…หือ … คันมือยิบๆ …อยากใส่ๆ…หมีหันมามองหน้า…ประเดี๊ยวเถอะ แม่คนนี้ เดี๋ยวก็ได้ออกจากสนามบินตรงดิ่งไปตะรางซะงั้น …แหะๆ อ่ะ เว้นไว้ๆ

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – — – – – – – – – – – –

กรอกเสร็จก็หลับ ชีวิตอิชั้นช่างเรียบง่าย มารู้สึกตัวอีกที ก็ตอนที่หมีปลุกให้ตื่นขึ้นมาดูย่างกุ้งตอนใกล้จะแลนดิ้ง เรามองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นพื้นที่ไร่นารอบนอกกรุงย่างกุ้งเจิ่งนองไปด้วยน้ำ กระท่อมปลายนาหลังเล็กหลังน้อยจมอยู่กลางน้ำขังกินบริเวณกว้าง จนแลดูคล้ายทะเลสาบ พายุฝนฤดูร้อนในอาทิตย์ที่ผ่านมาทิ้งร่องรอยและสร้างความเสียหายให้กับอดีตเมืองหลวงแห่งนี้ไว้ไม่น้อย สภาพน้ำท่วมหนักของพม่าในรอบ 40 ปี ที่เห็นอยู่ตรงหน้า ทำให้เราอดสะท้อนใจไม่ได้ ปกติประเทศก็ยากจนอยู่แล้ว มาเจอน้ำท่วมหนักอย่างนี้ ชาวไร่ชาวนาเค้าจะอยู่กันยังไงนะ

8 โมงเช้าไม่ขาดไม่เกิน เจ้านกเหล็กลำน้อยร่อนลงจอดที่สนามบิน อองมินกลา กรุงย่างกุ้ง ชัตเติ้ลบัสสัญชาติญี่ปุ่น มารอรับเราอยู่แล้ว วิ่งแป๊บเดียวยังอุตส่าห์มีเบาะให้นั่งด้วยอีกแน่ะ ดีกว่าของที่สนามบินเราอีก เหอ เหอ

ก้าวแรกที่เข้าไปในบริเวณตรวจคนเข้าเมือง แอบประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียว สนามบินพม่าช่างกว้างขวาง สะอาด อินเตอร์ผิดคาด พื้นเป็นมันเงาสีขาว สะท้อนแสงไฟนีออนบนเพดานสว่างไสว ให้อารมณ์ประมาณสุวรรณภูมิย่อมๆ (อยากถ่ายรูปมาให้ดูก็ไม่กล้า ก็เค้าบอกกันว่าอย่าถ่ายอะไรที่เป็นที่ทำการของรัฐบาลอ่ะ ถ้าไม่อยากโดนจับไปสอบสวน !!! )

มาถึงขั้นตอนการตรวจพาสปอร์ตที่แสนจะน่ารัก พนักงานตรวจหนังสือเดินทางที่นั่นทำงานกันเป็นทีมด้วยบรรยากาศสบายๆ

เคาน์เตอร์นึงจะมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ 2 คน พอคนแรกรับพาสปอร์ตไปดูเสร็จ ก็จะส่งไปให้เจ้าหน้าที่ซึ่งนั่งอยู่ติดกัน เช็คอะไรเพิ่มเติมไปตามเรื่องตามราว และเพื่อเป็นการไม่ให้เสียเวลา ก็ไม่ต้องพักรอให้คนที่ยืนรออยู่ออกไปซะก่อน เรียกคิวต่อไปเข้ามาเลยละกัน ช่องนึงก็เลยมีคนไปยืนออกันอยู่ซะ 3 คน ตรวจด้วยกัน อบอุ่นดีออก

ตอนจะคืนพาสปอร์ตสิกิ๊บเก๋ยูเรก้าชนะเลิศ เจ้าหน้าที่จะเปิดหน้าแรกสุดของเล่มที่มีรูปหน้าเราแปะอยู่ ยื่นมาตรงหน้า ชูให้เราดูชัดๆ แล้วถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง…

“นี่คุณใช่มั้ย”

” เอิ่ม.. ใช่ค่ะ ” … เกือบถามกลับไปแล้วว่าสวยมั้ยคะ แต่กลัวเค้าจะไม่รับมุขอ่ะ

ยืนยันเสร็จสรรพก็ได้สมุดคืนมา วิธีนี้ไม่มีผิดฝาผิดตัว

หมียืนอยู่คิวถัดจากเรา แต่ใช้เวลาเป็นสองนานกว่าจะหลุดออกมา เรายิ่งนอยรับประทานมาตั้งกะตอนขอวีซ่า ก็แอบกลัวว่ารัฐบาลพม่าจะให้ตรวจตราอเมริกันเป็นพิเศษ

สุดท้ายก็ไม่มีอะไร แต่เจ้าหน้าที่ดึงเอาใบ departure card ของหมีที่กรอกเสร็จแล้วออกไปด้วย ทั้งที่ของเรายังอยู่ครบ คราวนี้ถึงคราวหมี alarm รับประทานบ้าง เพื่อนเค้าเคยเจอแบบนี้ที่เวียดนาม ไม่มีใบขาออก แล้วเจ้าหน้าที่จะไม่ให้ออกประเทศ ว่าแล้วก็เลยวิ่งกลับไปขอคืน … เจ้าหน้าที่ไม่ว่าไง อยากได้เหรอ งั้นเอาใบใหม่ไปกรอกตามใจชอบละกัน ซะงั้น…

เราตบหลังหมีให้กำลังใจ…เอาน่า จนๆ อย่างเรา เค้าคงไม่เก็บตัวไว้หรอก เนาะ !! 🙂

แค่บรรยากาศสนามบินก็พาให้จิตใจกระชุ่มกระชวยแล้ว พม่ายังคงอนุรักษ์วัฒนธรรมการแต่งกายแบบดั้งเดิมไว้อย่างน่าชื่นชม นั่นคือผู้ชายนุ่งโสร่งผืนยาวกรอมเท้า คีบแตะหูหนีบคู่ใจ ส่วนผู้หญิงนั้นเล่า ก็พร้อมใจกันนุ่งผ้าถุง ผืนยาว ประแป้งตะคะนาบนใบหน้าแทนเครื่องสำอางสมัยใหม่

คนเมืองอย่างเราที่ใส่ยีนส์เป็นอาจิณ ชินชากับกระแสตะวันตกที่ทะลักไหลบ่าเข้ามาอย่างเขื่อนแตก เห็นแล้วก็ตื่นเต้นปนทึ่ง แอบชี้ชวนให้หมีดู นี่ไงๆ โลงจี เดี๋ยวหมีไปถึงตลาดแล้วซื้อเปลี่ยนเลยนะ เค้าจะได้คิดว่าเป็นคนพม่า เวลาไปวัดจะได้ไม่ต้องเสียตังค์ไง 555

หมีหันมามองหน้า…เอ๊ออ คนเรา … เค้าคงเชื่อล่ะนะ

ก่อนออกมา เราแวะเคาน์เตอร์สายการบินในประเทศ Yangon Airline เพื่อถามราคาตั๋วเครื่องบินไป เมืองพุกาม ภาษาพม่าเรียกกันว่า บะกัน (Bagan) ตั้งใจว่าถ้ามีไฟลท์ดีๆ ก็จะบินไปเลยในวันเดียวกัน

เจ้าหน้าที่สาวของสายการบินพูดภาษาอังกฤษคล่องเปรี๊ยะ บนพวงแก้มประแป้งตะนาคาเอาไว้วงใหญ่ เราอดยิ้มไม่ได้ ขนาดเจ้าหน้าที่ที่สนามบินยังใช้ตะนะคา เชื่อแล้วว่าฮิตกันทั่วบ้านทั่วเมืองจริงๆ

“เที่ยวบินไปบะกัน มีตอน 11 โมง กับ 3 โมงเย็น ราคา 76 ดอลล่าร์ ต่อเที่ยวค่ะ”

“รับบัตรเครดิตมั้ยคะ ??” เราเตรียมเงินสำรองมาจำนวนหนึ่ง แต่ก็ไม่อยากใช้เงินสดไปกับค่าเครื่องบิน

“ต้องขอโทษด้วยค่ะ สายการบิน รับแต่เงินสดเท่านั้นค่ะ” … แป่ววว … พอเข้าใจว่าตามร้านค้าต่างๆ อาจไม่รับบัตรเครดิต แต่นี่มันเคานท์เตอร์สายการบินเอกชนเชียวนะ … มารู้ทีหลังจากบริษัททัวร์ที่เราไปติดต่อว่า รัฐบาลพม่ายกเลิกการใช้บัตรเครดิตในประเทศไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นของธนาคารอะไร จะวีซ่า หรือมาสเตอร์การ์ดก็ใช้ไม่ได้

แล้วไงนะ…คนที่มาเที่ยวนานๆ หรือมาแบบพักโรงแรมอย่างหรูเลย เค้าหอบเงินสดมากันเป็นตู้เลยเหรอ… ได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ… ยังซื้อไม่ได้ก็เอาไว้ก่อนล่ะกัน ที่นี่ไม่รับ ที่อื่นอาจจะรับก็ได้

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

เดินออกมานอกอาคารเพื่อหาแท็กซี่ แอบตีมึนไม่สนใจเคาน์เตอร์แท็กซี่ของสนามบิน ก็รู้กันอยู่ว่าราคาแพงกว่าแถมต่อรองไม่ได้ ของอย่างงี้ ผู้บริโภคเลือกได้ ซัพพลายล้นดีมานด์รออยู่ข้างนอกเห็นๆ

นั่นปะไร ก้าวออกมายังไม่ทันไร พี่หม่องนับสิบก็เข้ามารุมส่งเสียงเซ็งแซ่

“ไปสุเลพญาเท่าไรคะ ” ถึงพม่าแล้ว ไม่รู้จะไปเริ่มต้นที่ไหน คิดอะไรไม่ออกบอกชื่อนี้ไปเลย สุเลพญา เจดีย์ทองกลางเมือง แหล่งรวมตลาด ที่พัก เกสท์เฮาส์

” 6 ดอลล่าร์ ” พี่คนขับ ตอบแล้วพุ่งน้ำหมากปิ๊ดหนึ่งที … จริงๆ แล้วพม่าใช้สุกลเงิน จ๊าด แต่ในหลายๆ ที่ เช่นร้านขายของใหญ่ๆ หรือธุรกิจท่องเที่ยวต่างๆ โดยเฉพาะที่สนามบิน ก็รับเงินดอลล่าร์ควบคู่กันไป

” โห เค้าไปกัน 3 ดอลล่าร์ เองนะ” จริงๆ ฮ่ะ ราคานี้เดี๊ยนเช็คแล้ว

” โห 3 ดอลล่าร์ ไปไม่ได้หรอก 5 ดอลล่าร์แล้วกัน” พี่คนขับพร้อมใจกันตอบยังกะเตี๊ยมกันไว้ แหมไปเที่ยวคราวไหนคราวนั้น เรื่องการต่อรองราคากับแท็กซี่นี่ถือเป็นสีสันของแต่ละทริปทีเดียวเชียว

เออ..หรือ ราคามันจะขึ้นเป็น 5 ดอลล่าร์จริงๆ … ร่ำๆ จะใจอ่อนไปกับเค้าอยู่แล้วว พอดีนึกขึ้นได้ว่าในกระเป๋ามีแต่แบ็งค์ 100 ดอลล่าร์ ที่พากันไปแลกมาเมื่อคืนสดๆ ร้อนๆ … ใหญ่ขนาดนี้ พี่แท็กซี่บ่มีทอนค่ะ …แป่ววว…ใครจะไปเที่ยว รู้ตัวว่าต้องขึ้นเรียกรถเข้าเมือง อย่าลืมเตรียมเงินย่อยไว้ให้แท็กซี่ด้วยนะคะ

ถามใครก็ไม่มีใครมีเงินย่อยให้แลก (ก็แหงล่ะ ไม่ใช่ตลาดแถวบ้านนิ เค้าจะได้ให้แลกแบ็งค์ย่อยกันง่ายๆ) สุดท้ายเราก็ซมซานกลับเข้ามาใช้บริการเคาน์เตอร์แท็กซี่ภายในสนามบิน…ที่นี่ยิ่งแล้วใหญ่เลย เรียกค่าบริการตั้ง 6 ดอลล่าร์

ก่อนที่ลูกแม่ค้าอย่างเราจะได้แสดงฝีไม้ลายปาก หมีรีบชิงพยักหน้า ก่อนหันมาบอก… เอาน่า แค่ ดอลล่าร์เดียวเอง ปลอดภัยด้วย (เอิ่ม..นั่งรถเข้าเมืองเนี่ย มันจะมีอะไรอันตรายเหรอ)

อะจ้า ไปก็ไป…ผู้สนับสนุนหลักว่าอย่างไร เราว่าตามกัน

นอกจากคนขับใส่โลงจีสีเข้มที่เดินนำเราแล้ว ยังมีกระทาชายอีกหนึ่งนายเข้ามาดูแลให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษ เค้าคนนี้ประจำอยู่ที่เคาน์เตอร์แท็กซี่ของสนามบิน ใส่เสื้อเชิ้ตเรียบร้อยสวยงาม เอวคาดกระเป๋าหนังเก็บเงิน พร้อมด้วยโลงจี และอีหนีบครบสูตร

ชายนิรนามผู้มาทำความรู้จักเอาทีหลังว่าชื่อ ลา เท (Hla Htay) จะเป็นไกด์ประจำรถแท็กซี่เราในวันนี้ (เก๋มั้ย) อยากไปไหน พี่หม่องจะพาไป …

เราถามถึงตึกซากุระ ที่อ่านเจอมาว่าเป็นที่ทำการของบริษัททัวร์ และออฟฟิศสายการบินหลายแห่ง พี่ลาเท ให้คำมั่นใจเป็นมั่นเหมาะ … จะไปซื้อตั๋วเครื่องบินเหรอ..โอย เดี๋ยวพาไป แวะได้ๆ

“แล้วใช้เครดิตการ์ดได้มั้ยครับ ” หมีเช็คเพื่อความชัวร์

“อืม…เครดิตการ์ด เหรอ เดี๋ยวจะโทรไปเช็คกับบริษัททัวร์ที่ผมรู้จักให้ ไม่เป็นไรนะ มีหนทางๆ แต่เราต้องแวะไปที่ออฟฟิศบริษัททัวร์นะ ดูอีกทีว่าเค้าทำอะไรได้บ้าง”

อืม…พี่ว่าไงก็ว่ากัน ถ้าพี่ยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่ามีตังค์ทอนเรา ก็ไปโลด ยังไงมันก็ต้องเข้าเมืองอยู่แล้วนิ

มีแท็กซี่เป็นของตัวเองแล้วก็เหมือน มีพระเครื่องป้องกันภัย คราวนี้เดินออกไปนอกอาคาร พี่หม่องคนอื่นๆ ก็ไม่เข้ามารุมเหมือนคร้งแรก เราพากันเดินไปที่รถ พี่ชายสองสามคนกุลีกุจอเข้ามาช่วยยกกระเป๋าขึ้นใส่หลังรถ เรารีบปฏิเสธเป็นพัลวัน ไม่ต้องค่ะๆ กระเป๋าเล็กยกเองได้ … ไม่ใช่ไรหรอก งกน่ะ กลัวเค้าคิดตังค์

แต่ไม่ทันซะแล้ว พี่ผู้ชายยกกระเป๋าใส่หลังรถ ปิดเรียบร้อย หันมายิ้มให้เรา แล้วก็เดินจากไป…ง่ายๆ ซะอย่างงั้น แอบรู้สึกผิดนิดๆ ที่คิดอะไรเป็นการค้า ใครว่ามิตรภาพไม่มีในพนักงานยกกระเป๋าที่สนามบิน ว่าไปนั่น!!

———————————————-

แท็กซี่ในพม่าเป็นรถญี่ปุ่นคันเล็ก ไม่มีมิเตอร์ ไม่มีเครื่องเสียง ใช้ระบบแอร์ธรรมชาติด้วยการไขกระจกลง ด้านไหนไขไม่ได้ก็ปิดไว้เช่นนั้น สภาพเบาะและรถเก่าได้ใจ แต่พอวิ่งไปตามถนน ผ่านบ้านเมืองและผู้คนที่ดูราวกับหนังไทยย้อนยุค ก็ดูเข้ากันได้อย่างไม่ขัดเขิน

ถนนในพม่าจากสนามบินเข้ามาตัวเมืองค่อนข้างกว้างและสะอาดราบเรียบดี (ที่โน้ตเอาไว้ตอนนี้เพราะไปเจอมาว่าเส้นอื่นมันไม่ใช่อย่างนี้น่ะสิ!! T__T เรียกว่าหลอกให้ตายใจเอาไว้ก่อน) พอได้เห็นว่ารถวิ่งเลนขวา เลยถึงคราวหมีอเมริกันตื่นเต้นมั่ง ยิ่งพอสังเกตต่อมาว่าพวงมาลัยรถกะที่นั่งคนขับก็ยังอยู่ฝั่งขวาตามแบบฉบับรถญี่ปุ่น คราวนี้เลยกิ๊กกั๊กใหญ่เลย ถามพี่ลาเท ที่นั่งหน้าคู่คนขับว่าขับไปกันได้ยังไง พี่ลาเทก็ได้แต่หัวเราะ บอก โอ๊ย สบายมั่กๆๆ ชินแล้วๆ ไม่เห็นรู้สึกแปลกตรงไหน

ย่างกุ้งทิ้งขาดกรุงเทพตรงที่มีต้นไม้ใหญ่ อยู่สองข้างทาง รวมถึงเกาะกลาง เป็นระยะทางยาวไปตลอดถนน พอรวมกับฝนที่เพิ่งหยุดตกไป ถึงจะนั่งรถไม่เปิดแอร์ก็รู้สึกเย็นสบายมากๆ

เราวิ่งผ่านถนน โบ๊กจ๊ก ถนนสายหลักที่มี เดอะ เทรดเดอร์ (The Traders) โรงแรมหรูระดับห้าดาว กับตึกซากุระตั้งอยู่ ได้แต่ร้องอู้หู แถวนี้นี่ตึกรามสมัยใหม่ใหญ่โตให้อารมณ์สิงคโปร์เลยเนาะ


หน้าตึกซากุระ อาคารรวมออฟฟิศ สายการบิน และบริษัททัวร์ บนถนนโบ๊กจ๊ก (Bokyoke Aung San Rd.)

ที่แยกโบ๊กจ๊ก อองซาน มองเลยไปทางขวามือจนสุดถนน จะเห็น สุเลพญา ตั้งเด่นเป็นแลนด์มาร์กอยู่ ถึงจะรู้ว่าไม่ใช่เจดีย์ชเวดากอง แต่ทองที่กระแทกตามาแต่ไกล ก็ทำให้เราอดส่งเสียงวิ้วว้าวไม่ได้

ไม่ไกลจากแยกอันแสนจะไฮโซ พี่ลาเท ชี้ให้เราดูโรงแรมเอเชียพลาซ่า ทางขวามือ เป็นโรงแรมระดับสามถึงสี่ดาว ชี้ชวนว่าโรงแรมนี้ก็น่าพัก ปกติราคาจะตกอยู่คืนละ 30-40 ดอลล่าร์ แต่ถ้าเค้าพาไปก็จะลดได้เหลือคืนละ 25 ดอลล่าร์

เราแหงนหน้ามองตึกสูง เห็นความอลังการเกินกระเป๋า เลยได้แต่หันมายิ้มให้พี่เค้า บอกไปว่าตั้งใจจะพักที่เกสท์เฮาส์บิวตี้แลนด์ สอง แต่เดี๋ยวไปซื้อตั๋วก่อนดีกว่า เรื่องที่พักค่อยว่ากัน

รถวิ่งผ่านแยกไฮโซมาไกล ก่อนเลี้ยวเข้าไปถนนเส้นเล็กๆ แล้วจอดเอาหน้าตึกแถวหลังหนึ่ง หน้าตา เหมือนบ้านใครซักคนมากกว่าเป็นออฟฟิศ


ป้ายทะเบียนพม่าบนรถอเมริกันรุ่นเก๋า ที่จอดอยู่หน้าออฟฟิศ เห็นแล้วอดไม่ได้

เข้าไปข้างใน มีพนักงานใส่เชิ้ต นุ่งโลงจี หิ้วปิ่นโต ยืนรอลิฟท์อยู่แล้วประมาณ 3-4 คน
ลิฟท์มาช้ามากกกกกก ยืนรอกันอยู่ร่วม 20 นาที ระหว่างนั้นก็มีคนทยอยมาทำงานมากขึ้นเรื่อยๆ
พอได้เข้าลิฟท์แล้วถึงได้บางอ้อ ทำไมมันช้านัก ก็ปุ่มกดลิฟท์ข้างนอกมันมีอยู่ปุ่มเดียวทุกชั้น แยกแยะไม่ได้ว่าคนที่กดเนี่ยจะขึ้นหรือจะลง ผลก็คือลิฟท์จอดหมดทุกชั้น เปิดทีคนที่รออยู่ก็ถาม…

ขึ้นหรือลงเนี่ย….
ขึ้น… (เค้าพูดภาษาพม่ากัน ฟังไม่รู้เรื่องหรอก แต่เดาเอาว่าน่าจะประมาณนี้)

เอ้าขึ้นหรอ..งั้นปิด

เปิดอีกที คนข้างนอกถาม
ขึ้นหรือลง ???
ขึ้น ขึ้น …
อ่ะ..บางคนเข้ามา บางคนยืนรอต่อ

ลิฟท์เปิดแล้วปิด เปิดแล้วปิด เป็นซีรี่ส์อย่างงี้ไปตั้งกะชั้นหนึ่ง ยันชั้นสิบ คนเริ่มทยอยเบียดเข้ามากันเรื่อยๆ จนแน่น พอถึงชั้นสิบเอ็ด ประตูลิฟท์เปิดปั๊บ ยังไม่ทันที่คนข้างนอกจะถาม คนในลิฟท์พร้อมใจกันบอก

ขึ้น ขึ้น ขึ้น ขึ้น…ปิดเลยๆ เต็มแล้ว (5555)

จอดไปขำไป อยู่อย่างนี้ ยาวนานราวโกฏิปี ในที่สุดก็ถึงชั้น 15 … เราเข้าไปในออฟฟิศเล็กๆ ของ Exotic Myanmar Travels & Tour โดยมีพี่ลาเท เจ้าเก่า จัดการสอบถามเรื่องตั๋วเครื่องบินให้เสร็จสรรพ เราไม่ลืมย้ำกำชับเรื่องชำระด้วยบัตรเครดิต

เจ้าหน้าที่ขอเวลาเช็คราคา กับตารางบินสักครู่ ในระหว่างรอ พี่ลาเท ก็เอาแค็ทตาล็อคโรงแรม ที่พัก มาให้ดูเป็นเล่ม ไม่ได้มีเฉพาะย่างกุ้งนะคะ แต่มีทั่วทุกแหล่งท่องเที่ยวเลยทีเดียว

อู้หู โอ้โห … โรงแรมเอย รีสอร์ทเอย แต่ละแห่งที่อยู่ในเล่ม ช่างหรูหราอลังการงานสร้าง ชะรอยพี่ต้องคิดว่าเราเป็นนักท่องเที่ยวไฮโซแน่แล้ว เราดูไปยิ้มไป สวยเนาะ แต่แหะๆ ไม่มีตังค์หรอกค่ะ ขอตัวไปถ่ายรูปดีกว่า เอาตัวรอดไปโน่น 🙂


อาคารเก่าสไตล์โคโลเนียล ตั้งแต่สมัยยุคอาณานิคมอังกฤษ ถ่ายจากออฟฟิศบริษัททัวร์ที่ไปซื้อตั๋วเครื่องบิน

ถ่ายรูปก็แล้ว กินชาก็แล้ว นั่งรออยู่ร่วมครึ่งชั่วโมง ก็ยังไม่ได้ความคืบหน้า อะไรจะใช้เวลาเช็คนานขนาดนั้น ในที่สุดเราขอพี่ลาเท เข้าไปข้างในเพื่อคุยกับพนักงานเองเลย พนักงานยื่นแผ่นปรินท์ราคาค่าโดยสารของสายการบินมาให้เปรียบเทียบ มีทั้งหมด 4 สายการบินด้วยกัน คือ

Yangon Airline
Bagan Airline
Myanmar Airline (MA)
แล้วก็อีกอันนึงจำชื่อไม่ได้ แต่เห็นว่าก็เป็นอันเดียวกับ MA ที่มีข่าวว่าตกกันบ่อยๆ นั่นแหละ

ความแตกต่างของบรรดาสายการบินพวกนี้ก็คือ 2 เจ้าแรกเป็นของเอกชน ที่บินไประหว่างเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญๆ ส่วนของ MA ที่เห็นถูกๆ นั่น จะบินแค่ domestic ระหว่างเมือง แต่ไม่มีไปเมืองท่องเที่ยว อย่าง พุกาม หรือ มัณฑะเลย์ ส่วนมากก็เลยมีแต่คนพม่าเค้านั่งกัน

ก่อนไปเคยได้ยินว่าสายการบิน บะกันแอร์ เครื่องสภาพดี บริการเวิร์ค เราก็เลยเลือกบินกับที่นี่แหละ ค่าตั๋ว ไปอย่างเดียว 71 ดอลล่าร์

ย่างกุ้ง-ยองอู (บะกัน หรือ พุกาม นั่นแหละ แต่สนามบินชื่อยองอู ไปพม่าก็แบบนี้ มีทั้งชื่อเดิมของพม่า ชื่อที่อังกฤษตั้ง กับชื่อที่ไทยเรียกกันเอง เยอะแยะไปหมด ไปไหนที มีอันให้งงเป็นประจำ)

ถ้า ย่างกุ้ง-มัณฑะเลย์ ก็แพงกว่านิดนึง 75 ดอลล่าร์

เที่ยวบินวันนี้ 11 โมง ตั๋วเต็มแล้ว 3 โมง ก็เย็นเกินไป สุดท้ายเราตัดสินใจบินเช้าวันรุ่งขึ้น รอบ 6 โมง 15 (พระเจ้าช่วย ทำไมมันเช้านักนะ)


นามบัตรของบริษัททัวร์ บริการน่ารัก แต่ให้กลับไปอีกทีคงหาไม่เจอ

ตกลงเรียบร้อย ก็รอให้ทางบริษัททัวร์โทรจองตั๋ว (เออ เหมือนซื้อตั๋วรถบัสเลยนะ) เราออกมานั่งรอข้างนอกอีกครั้ง ผ่านไปอีกครึ่งชั่วโมง พี่ลาเทก็เดินออกมา แอบเห็นในมือมีซองสีน้ำตาลเล็กๆ ออกมาด้วย

เรากระซิบกับหมี สงสัยพี่เค้าได้ค่าคอม จากบริษัทแหงเลย มิน่า เลยพามาบริการให้ข้อมูลอย่างดี

แล้วยังไงนะ ยังไม่ได้ให้บัตรเครดิตเลย สรุปว่าใช้ได้รึเปล่าเนี่ย…

ปรากฏว่าไอซองสีน้ำตาลในมือพี่เค้าเนี่ย มันคือตั๋วเครื่องบินของเรานั่นแหละ คราวนี้ก็ได้เวลาไป cash credit เราต้องนั่งรถไปอีกที่นึง เพื่อใช้บัตรเครดิต จ่ายค่าตั๋วเนี้ย


ตั๋วเครื่องบิน บะกันแอร์

กลับมาที่แท็กซี่คราวนี้ เราเลยมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคน คือ น้องเด็กหน้าละอ่อนจากบริษัททัวร์ ที่จะนั่งไปที่โรงแรมเซโดน่ากับเรา เพื่อรอรับเงินสดค่าตั๋วกลับไปออฟฟิศ

ที่แท้ Cash credit ก็คือวิธีการรูดบัตร เพื่อเอาเงินสดออกมา ในสถานที่ที่เค้ารับบัตรเครดิต (แบบลับๆ เข้าใจว่าทั่วทั้งย่างกุ้ง คงมีแต่โรงแรมใหญ่มากๆ ที่กล้ารับทำเช่นนี้ )

แต่ขอโทษจะใช้บริการบัตร credit หนึ่งครั้ง เสียค่าชาร์ทแค่ 7.3 % เท่านั้น
เราแอบทำหน้าสยอง อุแม่เจ้า ปล้นกันเลยดีกว่า ชาร์ทกันไม่เกรงใจยังกะภาษีมูลค่าเพิ่ม … ผู้สนับสนุนหลักคำนวณในใจ เอาน่า เพิ่มอีกไม่กี่ร้อย ไปเถอะๆ

พม่า 3 ไทย 1 หมี 1 หอบหิ้วกันไป โรงแรมเซโดน่า ( Sedona Hotel) โรงแรมหรูหราไฮโซ ระดับ 5 ดาว ที่อยู่เลยใจกลางย่างกุ้งออกมาหน่อย


สระน้ำที่โรงแรม เซโดน่า หรูมั่กๆ

พิธีการก็ไม่มีอะไรมาก พี่ลาเท เอาตั๋วเครื่องบินไปยื่นที่เคาน์เตอร์โรงแรม พนักงานต้อนรับในชุดฟอร์มสุดหรู ก็จะจัดการให้เสร็จสรรพ ใช้แค่พาสปอร์ตและลายเซ็นหนึ่งแกรกของเจ้าของบัตร เป็นอันเรียบร้อย ได้เงินสด 150 ดอลล่าร์มาอยู่ในมือ … โอววว นี่มันตลาดมืดบัตรเครดิตชัดๆ (กลับมาแล้ว หมีมาบอกว่า สรุปว่าวันนั้นที่รูดบัตรไปอ่ะ มันโชว์อยู่ในบิลเรียกเก็บว่าไปใช้บัตรเครดิต ที่โรงแรม เซโดน่า ในประเทศสิงคโปร์ …โอ้โห ซิกแซกได้ใจมั่กๆ นับถือๆ)

– – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – – –

พอแล้ว !! นั่งรถเล่นมารอบเมืองจะครึ่งวันอยู่แล้ว ยังไม่ได้เข้าที่พักเลย ข้าวก็ยังไม่ได้กินตั้งกะเช้า น้ำท่าก็ยังไม่ได้อาบ (ก็ตื่นเช้ามืดอ่ะ กลัวไม่ทันก็เลยเปลี่ยนเสื้อผ้าไปสนามบินเลย)

เราจัดการจ่ายเงินและส่งน้องหน้าละอ่อนกลับบริษัททัวร์ บอกจุดหมายปลายทางพี่ลาเทให้ไปส่งที่ บิวตี้แลนด์ 2 เกสท์เฮ้าส์ ที่เป็นที่ขึ้นชื่อลือชาในหมู่นักเดินทางเมืองไทย
แท็กซี่วิ่งกลับมาบริเวณแยกโบ๊กจ๊กอองซาน ผ่านหน้าตึกซากุระไปแค่หนึ่งบล็อก ก็เลี้ยวเข้าไปซอยเล็กๆ ที่อยู่ข้างๆ ตึกนั่นแล

ด้านหน้าตึกของ บิวตี้แลนด์ หน้าตาเหมือนตึกแถวธรรมดาๆ นี่แหละ กลมกลืนไปกับบ้านข้างๆ ซะจนถ้าไม่สังเกตดีๆ อาจเดินเลยผ่านไปโดยง่าย เราบอกให้พี่ลาเทกับคนขับแท็กซี่ รออยู่ก่อน ขอเช็คห้องพักว่าเป็นไงแล้วค่อยว่ากันนะ

พนักงานที่เคาน์เตอร์เป็นหญิงพม่าวัยกลางคน อัธยาศัยดีมาก ก่อนจะเจรจายังเชิญให้เราดื่ม welcome drink ซะก่อน แถมบอกอีกว่า ที่นี่น่ะ คนไทยมาพักเยอะมากนะ

สภาพที่พักที่ที่บิวตี้แลนด์ 2 ถือว่าน่าอยู่ใช้ได้ เราชอบรูปแบบอาคารและการตกแต่งที่ให้ความรู้สึก funky ดี แต่ติดอยู่ที่ห้องและราคาที่พักนี่แหละ

ราคาที่พัก ห้อง single 12 ดอลล่าร์ ต่อคืน ห้องน้ำในตัว ไม่มีแอร์ ไม่มีทีวี ไม่มีหน้าต่าง ถ้าอยากได้ห้องติดหน้าต่าง มี facility เพิ่มขึ้นก็ตกอยู่ที่ 15 ดอลล่าร์

ส่วนราคาห้องคู่ เริ่มที่ 18 ดอลล่าร์ สำหรับห้องที่ไม่มีหน้าต่าง และห้องที่มีหน้าต่าง 20 ดอลล่าร์
เราขอขึ้นไปดูห้องที่มีหน้าต่างและทีวี ก็สะอาดพอสมควร ติดตรงที่ว่ามันเล็กมาก เปิดเข้าไปก็เจอเตียงเต็มห้อง ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในกล่อง … ไม่ใช่ว่าเรื่องมากเรื่องที่พักอะไรหรอกนะ ที่ไหนก็นอนได้ แต่เรา 2 คน เห็นแล้วก็รู้สึกตรงกันว่า ห้องเท่านี้นี่ไม่ค่อยสมราคา 20 ดอลล่าร์เท่าไรนะ เพิ่มอีก 5 ดอลล์ก็พัก เอเชีย พลาซ่าได้แล้ว แถมมาเที่ยวครั้งนี้ เรามีเวลาไม่กี่คืน ที่เหลือก็อาจจะต้องนอนบนรถ ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ขอพักที่สบายๆ ดีกว่า (ขอโทษที่ไม่ได้ถ่ายที่พักมานะคะ พอดีไม่มีโอกาส ไปดูของเค้าแล้วไม่พัก ก็เลยเกรงใจไม่กล้าหยิบกล้องออกมาน่ะ)

เราลงมาข้างล่าง บอกว่า ขอตัวไปดูที่อื่นๆ เปรียบเทียบก่อน พนักงานคนเดิม ถามว่าไม่ชอบใจตรงไหน ห้อง หรือราคา

“ ราคาค่ะ ลดหน่อยได้มั้ย ”
“ ห้องคู่มีหน้าต่าง ได้สุดๆ ก็ 18 ดอลล่าร์ น่ะค่ะ แต่รวมอาหารเช้าด้วยนะ ”
“ 15 ได้มั้ย เพราะเดี๋ยวยังไงก็ต้องกลับมาพักอีก “
“ ไม่ได้จริงๆ ค่ะ 18 นี่ ต่ำสุดแล้ว “

ใจแข็งมากๆ นี่ขนาดว่าเป็นโลว์ซีซั่นนะ ห้องก็ไม่เต็ม .. อ่ะไม่เป็นไร เราขอบคุณแล้วเดินออกมา บอกพี่ลาเท ให้พาไปที่โรงแรม เอเชียพลาซ่า ระหว่างทางก็ถามเรื่องแลกเงิน ไปแลกที่ไหนดี

แลกที่ผมก็ได้ ผมให้เรทดีด้วยนะ ปลอดภัยด้วย
ปรากฏว่ากระเป๋าที่พี่เค้าคาดเอวกระเตงไปมาทั้งวันน่ะ มันอัดแน่นไปด้วยเงิน เงิน และเงินปึกเบ้อเร่อ

พี่ลาเทเสนออัตราแลกเงินที่ 1 ยูเอสดอลล่าร์ ต่อ 1,200 จ๊าด (Kjat)

เรากระซิบบอกหมีเรื่องตลาดมืดแลกเงินที่หาได้ตามถนนแถวสุเลพญา เราควรได้อย่างน้อยก็ 1,300 นะ

พี่ลาเทรีบบอก ตลาดมืดน่ะมันอันตราย ต้องทำกันลับๆ ล่อๆ แถมส่วนใหญ่คนที่มาตามเสนอแลกเงินมักจะขี้โกง ปะเหมาะเคราะห์ร้ายตำรวจเห็นเข้า จะโดนยึดเงินหมดเลยนะ ถ้าแลกกับเค้ารับรองได้ครบไม่มีโกง

โห แกล้งขู่กันรึเปล่า เราอ่านมา เห็นใครๆ ที่มาเที่ยวก็แลกกันที่ตลาดมืดทั้งนั้น (อันนี้คิดในใจนะ พี่เค้าออกจะน่ารัก ช่วยเหลือ ใจดี พูดไปเดี๋ยวเค้าเสียใจ)

หมีตัดรำคาญความยุ่งยาก จริงๆ เรท 1,200 ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร แถมตอนนี้ก็ถึงโรงแรมแล้ว แลกไว้ก่อนซะส่วนหนึ่ง ดีกว่าจะได้ไม่ต้องไปเดินหา

แลกไป 100 ดอลล์ ได้เงินกลับมา 120,000 จ๊าด โอยยยยยยย ชั้นรวยยยยยยย

โรงแรมเอเชีย พลาซ่า ตั้งอยู่บนถนนใหญ่ ก็ถนน โบ๊กจ๊ก อองซาน นั่นแหละ เดินแป๊บเดียวก็มาถึงแยกสุเลพญาแล้ว ถือเป็นทำเลสะดวกต่อการเดินไปไหนมาไหนเป็นอย่างยิ่ง


ทางเข้าโรงแรม เอเชีย พลาซ่า

สภาพห้องดี และสะดวกสบายสมราคา ห้องใหญ่ มีแอร์ ทีวี น้ำอุ่น และอ่างอาบน้ำ พร้อม room service ตามแบบฉบับโรงแรมทั่วไป


ห้องพัก front side มองออกไปนอกหน้าต่าง ก็จะเห็นเจดีย์ชเวดากอง ทองอร่ามอยู่แต่ไกล

เข้าห้อง พักผ่อนเล็กน้อยถึงพองาม ทีวีที่นี่ไม่ธรรมดานะคะ เพราะรับยูบีซีจากเมืองไทยซะด้วย นอกจากช่องข่าวซีเอ็นๆ บีบีซี แล้วก็ช่องเพลงกระจุ๊กกระจิ๊กแล้ว ก็มีช่อง Star movie แถมซับไตเติ้ลไทย อีกต่างหาก ตอนไปถึงกำลังฉาย Star war episode I อยู่พอดี ก็เลยนั่งดูซะเพลิน เกือบลืมไปว่า ตูมาเที่ยวพม่า นะฮ่วย ของงี้ดูที่บ้านก็ได้ พอได้สติก็เลยพากันออกมาเดินชมเมืองซะหน่อย…

–> ยาวแล้ว ต๊ะไว้เล่าครึ่งเย็นที่เหลือในโพสต่อไปละกันเนาะ อิอิ ^^

5 ความเห็น to “ฟ้าสางที่ย่างกุ้ง”

  1. I was recommended this blog by way of my cousin. I’m no longer
    certain whether this post is written via him as no one else recognise such detailed approximately my problem.
    You’re amazing! Thank you!

  2. มันส์มากเลยน้อง พี่ตามอ่านอยู่ กรุกๆๆๆ มาต่อไวๆๆๆ
    ปล. ได้ดูโฆษณารองเท้าอีหนีบ ที่ขวัญใจพี่ (หน้าเหมือนพี่ทอมดันดี) แสดงป่าว?
    เกริ๊กๆๆๆ

  3. ขอบคุณนะคะ เขียนไปเขียนมาจะกลายเป็นไดอารี่ไปอยู่แล้ว ยาวยืดไม่จบซักที นี่ยังไม่ถึงช่วงเที่ยวเลยนะเนี่ย

    จะพยายามเร่งเขียนให้ทันพี่สนุกประเทศบินวันศุกร์ คาดว่าพรุ่งนี้ต้องลางานเพื่อเขียนบล็อกอย่างเดียวเป็นแน่แท้ 555

    ทริปนี้ใช้เงินไม่ค่อยยั้งค่ะ เสียมากบ้างน้อยบ้าง แต่ถ้าไปจริงๆ ไปได้ถูกกว่านี้เยอะ ยังไม่ได้รวมตังค์เลยค่ะ กลัว ตกใจน้ำลายฟูมปาก เอิ๊กๆๆ

  4. คุ้มค่า ที่รออ่านจริงๆ
    เขียนสนุกมากเลยค่ะ
    รูปก็สวยดี มาเขียนต่อเลย ด่วนๆ

    ทริปนี้เบ็ดเสร็จแล้ว หมดไปกี่ตังค์อ่ะ
    แพงมั้ย อยากไปบ้าง

  5. หนุกหนุก มาต่อด่วน
    อย่าปล่อยให้ค้างนานนะ คิคาปู๊
    เอาอีก เอาอีก เอาให้ทันศุกร์นี้นะ 555
    คิดถึงหมีด้วยนะ

ใส่ความเห็น