บันทึกลับดาวินชี่

title=พฤษภาคม – สิงหาคม 2010

เก็บข้าวเก็บของใส่กระเป๋า หนีตามเขามาหาดาวินชี่
หวังเที่ยวท่องส่องโลกอีกสักที
แต่หลั่นล้า ท่าไม่ดี งานนี้อาจหมดตัว..เอริ๊กกก

——————————————————————————–

Sunday 6 June 2010 : Torre del Lago, Italy

ดูทีวีตอนนั่งกินข้าวกลางวัน ข่าวรายงานว่า เมื่อเที่ยววันที่ผ่านมา มีผู้หญิงวัยสามสิบกระโดดลงมาจาก Torre Pendente ที่ Pisa ซึ่งก็คือหอเอนเมืองปิซ่า ที่เราไปร่วมด้วยช่วยยันเมื่ออาทิตย์ที่แล้วน่ะแหละ ข่าวเล่า (ส่วนเราต้องให้อัลเลแปล) ว่าหญิงสาวผู้นี้ทุกข์ทรมานจากอาการ depression หรือโรคซึมเศร้ามาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว เห็นข่าวแล้วก็จำได้ว่าอัลเลเคยเล่าให้ฟังว่าตอนเด็กๆ น่ะ มีคนไปกระโดดบ่อย นับเป็นสถานที่ที่ป๊อบปูล่าร์เป็นอย่างยิ่งในการปลิดชีพตน…

ขอให้เธอจากไปอย่างสงบสุข และพ้นซึ่งทุกข์ทรมาน…rest in peace

เราจินตนาการภาพนักท่องเที่ยวกำลังตื่นตาตื่นใจกับหอเอน และกำลังครีเอทสุดๆ กับการโพสท่ายันหอให้ออกมาดูสมจริงที่สุดอยู่เบื้องล่าง บนยอดบนสุดของหอ นักท่องเที่ยวอีกกลุ่มกำลังตื่นตุ้มปนหวาดเสียว กับการมองลงมาเบื้องล่าง ณ จุดที่หอเอนลาด เบื้องหน้าคือทัศนียภาพแปลกตาแบบพาโนรามาของเมืองปิซ่า ลมพัดโชยมาเบาๆ รอบตัวมีแต่รอยยิ้ม และเสียงชัตเตอร์ ไม่มีใครคาดคิดว่าวินาทีต่อไป พวกเค้าจะเป็นส่วนหนึ่งของเหตุการณ์ที่น่าหวาดเสียวเศร้าสร้อยที่สุด

“คิดดูนะ ว่าเราเป็นคนนึงที่ใฝ่ฝันมานานว่าคั้งหนึ่งจะได้ขึ้นมายืนที่หอเอนแห่งนี้ ตอนกำลังเดินขึ้นบันได เรายังส่งยิ้มหัวเราะต่อกระซิกทายทักกับคนรอบข้าง บางทีอาจจะยิ้มไปทางผู้หญิงคนนั้นด้วยซ้ำ …. แล้วต่อมาก็…..” เรายังจินตนาการต่อไม่หยุด “มันคงวุ่นวายน่าดูอ่ะ เป็นชั้น ชั้นต้องช็อคอยู่ตรงนั้น แน่ๆ”

“โชคดีที่ไม่มีใครยืนอยู่ตรงจุดที่เธอตกลงมา เพราะหลายครั้งคนข้างล่างก็สาหัส เพราะโดนคนตกลงมาทับ” อัลเลต่อ

“อืมมม…อารมณ์ เหมือนกาลิเลโอ ทดลองโยนถุงก้อนหินลงมาอ่ะ โดนเข้าคงหัวแบะ…แล้วไงอ่ะ ที่ปิซ่าเค้าก็ปิดกันทั้งวันเลยเหรอ ต่อจากนั้น”

“ปล๊าววว….สองชั่วโมง พอเค้าเคลียร์เสร็จ ก็เปิดต่อแล้ว!” อัลเลตอบ หน้าตาเฉยยยมากกกก

เฮ่ย!! เอาจริ๊งงงงงงงดิ !!

” เออ…แล้วเค้าเลือกโดด ตรงฝั่งไหนเนอะ เราะเค้าคงไม่อยากลงไปโดนคนอื่น” เรายังคงทำหน้าที่เป็นเจ้าหนูจำไม

” แหม..ถ้าเป็นตึกอื่นก็คงต้องพิจารณา แต่ที่นี่ก็ต้องตรงจุดที่มันเอียงซิ ขืนโดดอีกฝั่งก็ลงไปโดนตึก..ไม่ทันถึงพื้น”

….เออ….จริงฟร่ะ…แหมตรูนี่ก็ถามอะไร ง่าวๆ



——————————————————————————–

31 May 2010 : Torre del Lago, Italy

วันนี้ตื่นเช้ามาเจอแต่ข่าวดี

อัลเลลงไปห้องครัวแล้วก็ขึ้นมาบอกว่า แม่ซื้ออะไรมาให้แน่ะ

เราดี๊ด๊าลงไปข้างล่าง ในห้องครัวมีครัวซองท์ช็อคโกแล็ต แบบที่เรากินที่ Bar เมื่อวานนี้แล้วก็ชอบมากมายเด๊ะ…ยิ้มแก้มปริเลย…แม่อัลเลนี่เค้าช่างจำได้นะว่าเราชอบอะไร อย่างเมื่อวันก่อนตอนกินข้าวเราบอกกับแม่เค้าว่า เราชอบดูโอโม่ของปิซ่ามากกว่าหอเอนอีก วันรุ่งขึ้น หลังจากกลับจากไปเที่ยวที่ Lucca ก็มีโปสการ์ด แบบภาพวาดสีน้ำที่มี Duomo เป็น subject หลัก แล้วก็มีหอเอนแอบอยู่ท้ายๆ ที่มิเรลล่าซื้อมาฝากใหเหนึ่งใบวางอยู่….น่ารักสุดๆ อ่ะ (*^___^*)

เปิดอินเตอร์เน็ท เข้าเฟสบุ๊ค กวางคลอดแล้วววว น้อง Matt หรือ หลานเมธของเรา…หน้าตาน่ากิ ผมดก ปากจิ้มลิ้มเชียว…เย้ๆๆๆๆๆ ^^

อาหารกลางวันวันนี้ ถะแถ่นแถ่น แท้นนน……ลาซานญ่าาาาาาาาาาาาา

——————————————————————————–

20 May 2010 : Rome, Italy

เครื่องที่นั่งต่อมาจากไคโรลำไม่ใหญ่เท่าที่บินจากกรุงเทพ ตอนก้าวเข้าไปที่นั่งตอนแรกของเครื่อง ยังคุยกับอัลเลว่า แหม ลำเล็กเนอะ แต่ยังดีว่าที่นั่งใหญ่แบ่งเป็นเบาะนั่งข้างละสอง นี่ถ้าเป็นแอร์เอเชียนะ ต้องเป็นข้างนึงสาม อีกข้างนึงสองที่แน่ๆ

ยัง…ยังกิ๊กกั๊ก ไม่ทันจบประโยคดี ก็พบว่า ไอที่เราเห็นน่ะ มันเป็นส่วน business class ฟร้อยยย..สูเจ้าเงินน้อยก็นั่งชั้นประหยัดไป..นั่นไงที่นั่งแบ่งเป็นเก้าอี้ข้างละสามตัว..555 ตรูว่าแล้ว ว่าออกจะหรูเกินเหตุ!!

ถึงที่นั่งจะเล็ก แต่คราวนี้ได้นั่งติดหน้าต่างนะฮ้า…ได้ดูวิว เมอดิเตอร์เรเนียนงามๆ ด้วยย ^^


take off from Cairo The Mediterranean Sea

view from the plane window : ฟ้าสีคราม ทะเลก็สีง้ามมมงาม..ถามอัลเลว่าที่นี่ที่ไหน เฮียตอบแบบไม่คิด (จริงๆ เพราะไม่รู้) ว่า :  ” ที่นี่…อิต๊าลี่!!! ”

13.30 น. ถึงสนามบิน Fumicino ที่โรมอย่างง่วงๆ งง…แต่เครื่องเค้ากะเวลาได้ดีมาก กินหนึ่งอิ่ม ดู The Blind Side จบหนึ่งเรื่อง ล้อเครื่องก็แตะรันเวย์พอดี๊!!

“อย่าหวังว่าสนามบินที่นี่จะไฮโซนะ..เพราะที่ยุโรปเนี่ย ส่วนใหญ่จะเก่าอ่ะ ..เก่าแบบ old นะ ไม่ใช่ ancient” อัลเลพยายามลดระดับความคาดหวัง

เราเดินตามชาวบ้านเค้าอย่างเดียว มาจนถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองที่แบ่งออกเป็นสี่แถว ช่องนึงสำหรับพลเมือง EU อีกสามที่เหลือสำหรับ non-EU citizen  และแน่นอน ร้อยละ 99 ของคนที่มาถึงต่อเข้าแถวช่อง non-EU มีทั้งฝรั่ง จีน แขก ไทย (จริงๆ) คิวต่อแถวยาวเหยียดเป็นงูเลี้อย…เอิ่ม ถ้ามันจะเรียกว่าแถวได้น่ะนะ

อัลเลพยายามทำตัวเป็นป๋าดันให้เราไปเข้าแถวช่อง EU กับเค้า เราบอกแล้วบอกอีกว่ามันบ่ได้ดอกนาย เฮียก็ไม่เชื่อ ลากเราไปต่อแถวจนได้ ช่องนี้ผ่านไปเร็วมาก เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ต้องสต๊งสแตมป์อะไรเลย แค่ลากพาสปอร์ทผ่านเครื่องสแกนปราดเดียวเท่านั้น พอถึงคิวเราปุ๊บ อัลเลเข้าไปถามว่าให้เราเข้าช่องนี้ได้มั้ย…

“ไม่ได้ !!” เราเห็นเจ้าหน้าที่มองมาทางเรา แล้วส่ายหน้าไหวๆ คงเห็นว่ากะเหรี่ยงอย่างงี้ ขืนให้เข้าไป มีหวังชาวบ้านตามมาเป็นพรวน

จ๋อยเลยดิ นี่ตรูต้องย้อนกลับมาต่อที่ท้ายแถวงูเลื้อยนั่นใหม่ กรุ๊ปทัวร์จีนเพิ่งลง ยาวกว่าเดิมอีก!

ถึงแถวจะยาวแต่กระบวนการผ่านเข้าเมืองก็เร็วอย่างไม่น่าเชื่ออย่างน่าสงสัย…เรามาถึงบางอ้อก็ตอนถึงตาตัวเอง แหม..อุตส่าห์เตรียมตัวมาตอบคำถามอย่างเต็มที่ มาทำไม มาพักที่ไหน เอาเงินมาเท่าไร…

“ciao!! ” เรากล่าวทัก ฉีกยิ้มใจดีสู้เสือไปก่อน

“ciao..” เจ้าหน้าที่หนุ่มหล่อปานกลางหลังจากคุยกับช่องข้างๆ เสร็จก็หันมากล่าวตอบ… ก้มหน้าพลิกพาสปอร์ทหาหน้าที่มีวีซ่าอยู่สองวิ แล้วก็เอื้อมหยิบตราประทับมา stamp ดังปึ๊งงงงง เสร็จล่ะ!!! ทุกอย่างผ่านไปแบบโมชั่นต่อเนื่องด้วยระยะเวลาจากเส้นเหลืองถึงอีกฝั่งของอิมมิเกรชั่นภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาที…

โห…เฮียขา ไม่ถามอะไรหนูหน่อยเหยอคร้าาาาา

สงสัยต้องเป็นเพราะชั้น ciao ทักเค้าแน่เลย เรายิ้มเริงร่า

อัลเลมองเราอย่างเวทนา…เวลาทักกับเจ้าหน้าที่แบบนั้นอ่ะ ต้องพูดว่า Boun giorno หรือ Bounna sera ย่ะ…ใครเค้าทัก ciao กับที่ไม่รู้จักกันเล่า!!

อ้าว เหรออออ… แหะ แหะ…แอบนึกถึงบทแรกเมื่อครั้งเรียน italiano uno ในใจ…ขอโทษนะค้าาอาจารย์บุสก้า…หนูลืมมมม

…….หลังผ่านพ้นอิมมิเกรชั่นไป ก็จำอะไรไม่ได้เลยค่ะ รู้แต่ว่าเหนื่อย ship หายวายป่วง เพราะทั้งแบกทั้งลากกระเป๋า ขึ้นบันได ลงอุโมงค์ เอาสั้นๆ ย่อๆ ว่าจาก Fumicino airport เราต้องรีบวิ่งไปซื่อตั๋วรถไฟที่วิ่งจากสนามบินไปสถานีรถไฟ โดยลงที่ Roma Ostiense ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็วิ่ง (อีกแล้ว) ไปซื่อตั๋วอีกใบ  แล้วก็วิ่งๆ หัวซุกหัวซุน เพื่อรีบไปให้ทันรถไฟสาย IC518 ที่จะวิ่งไป Viareggio เมืองใกล้ๆ กับที่พ่อแม่ของอัลเลอยู่ และเป็น base ที่เราจะไปพักตลอดเวลาส่วนใหญ่ของทริปนี้ ทั้งหมดทั้งมวลนี้พร้อมด้วยการที่เราลากกระเป๋า 21 กิโล กระเป๋า carry-on ข้างนึง 8 โล กับที่สะพายไหล่ใส่ laptop อยู่บนบ่าอีกข้างอีก 3 โล!! อุแม่เจ้า..นี่ตรูขนอะไรม้าาาาาาาา…คอยดูนะ ขากลับแม่จะไม่เอาอะไรกลับไปเลย..(เหอะ เหอะ ให้มันจริงเถอะ!)

จาก Roma Ostiense ถึง Viareggio เราพากันนั่งรถไฟ Inter City ที่วิ่งระหว่างเมือง และแล้วเมื่อสามชั่วโมงผ่านไป เราก็พากันมาถึง Viareggio อย่างสะบักสะบอม….ระหว่างทางได้เห็นมหาวิหารของเมือง Pisa ด้วยนะ!! แฮ่ !!

——————————————————————————–

20 May 10 : Cairo airport, Egypt

6.15 น. : สนามบินไคโร ประเทศอียิปต์

หลับๆ ตื่นๆ อยู่บนเครื่อง ที่กว้างขวางพอสมควรมาเกือบสิบชั่วโมง รู้สึกเหมือนนอนไม่ค่อยเต็มอิ่ม รู้แต่ว่า ขึ้นเครื่องปุ๊บก็ตั้งตาคอยเค้าเสิร์ฟอาหารค่ะ เพราะหิว!!!

ในที่สุดแอร์สาวที่ไม่ค่อยสาวแล้วของอียิปต์แอร์หน้าตาค้มคมก็มาเสิร์ฟมื้อแรก ระหว่างไก่กับปลาเราเลือกอย่างหลัง อารมณ์ประมาณฉู่ฉี่ เหมือนตอนบินอินเดียแอร์ เอ็กซ์เพรส (ที่เพิ่งได้ข่าวว่าบินตกไปหนึ่งลำ RIP !!) จากกัลกัตตาหน้าตาเหมือนกันเด๊ะ…ปลาร้อนๆ ควันฉุย กับข้าวสวยเม็ดอ้วนกลม พร้อมขนมเค้กช็อคโกแล็ตหน้าครีมหนาปึ้ก อร่อยสุดๆๆๆๆ กินเสร็จก็อ้วนแทบกลิ้ง!!

ชะเง้อมองออกนอกหน้าตา ด้วยความหวังว่าจะเห็นสฟิงค์ แต่ก็ไม่มีอะไรนอกจากทะเลทรายกับอาคารสี่เหลี่ยมสูงเท่าๆ กัน ถึงไคโรแบบเย็นๆ อากาศประมาณ 18 องศา ที่สนามบิน เราไม่ต้องทำอะไรมากเพราะเข็คอินผ่านมาตั้งแต่กรุงเทพแล้ว แค่เดินตามทางป้ายที่ชี้ว่า connecting flights ยื่นพาสปอร์ทให้เจ้าหน้าที่แล้วก็ผ่านเครื่องแสกนอีกครั้ง อัลเลขอเค้า hand check เจ้าม้วนฟิล์มทั้ง 20 กลักอีกตามเคย แต่คราวนี้เจ้าหน้าที่อียิปต์ทำหน้าดุ ก่อนตอบ…No…แฮ่!!! โถๆๆๆ อัลเลถึงกับจ๋อยไปเลยยย

เราต้องรอเปลี่ยนเครื่องที่ไคโรห้าชั่วโมง อยากออกไปเที่ยวเพราะอียิปต์ก็เป็นอีกที่ที่เราอยากไป แต่ก็ออกนอกสนามบินไม่ได้ อารมณ์เหมือน The Terminal ยังไงยังงั้น!

โชคดีที่สนามบินไคโรหาปลั๊กตามเสาง่ายมาก เรากับอัลเลก็เลยพากันนั่งแปะอยู่กับพื้นเพื่อต่อ laptop นั่งมองคนเดินไปเดินมา แขกบ้าง ฝรั่งบ้าง ไทยก็คงมี แต่ไม่ค่อยเห็น นั่งๆ อยู่ก็จะได้ยินเสียงประกาศเรียกขึ้นเครื่องไปเมืองใหญ่ต่างๆ เกือบทั่วยุโรปอยู่เป็นระยะ ทั้งปารีส เบอร์ลิน ลียง ลิสบอน และต่างๆ อีกมากมาย เราก็เลยมีกิจกรรมการทายชื่อประเทศของเมืองต่างๆ เป็นการฆ่าเวลา

รู้สึกหิวอีกแล้ว เลยควักเอาขนมปังที่แอบเก็บมาจากเครื่องมากิน cheese spread ปาดบนขนมปังก้อน…อื้มหืม..อร่อยน้ำตาแทบไหล ……..

11 โมงแล้วววว นั่งจนเมื่อย… ไปกันเถอะรา ภารกิจของเราคือการรอกินบนเครื่องมื้อต่อไป เย้ๆๆๆ !!

——————————————————————————–

20 May 10 : Suvanabhumi  airport, Bangkok, Thailand

ตอนนี้ 00.25 น. แล้ว เรากับอัลเลกำลังรอบอร์ดดิ้งขึ้นเครื่องของสายการบินอียิปต์แอร์ คิวต่อแถวเช็คอินที่ช่อง Q ยาวมากกกก เรายืนรอไปก็ฟังเสียงประกาศจากสนามบินมาเป็นระยะๆ

“เนื่องจากที่มีการประกาศภาวะฉุกเฉินร้ายแรงในขณะนี้ ท่านผู้โดยสารที่ต้องการเดินทางออกนอกสนามบิน กรุณาติดต่อขอถ่ายสำเนายืนยันการเดินทางได้ที่ชั้นหนึ่งค่ะ…”

ขณะรอเช็คอิน กระเป๋าเราสาม ของอัลเลสอง..คล้ายว่าจะอพยพกันเลยทีเดียว

ประกาศมีแต่ภาษาไทย ไม่ยักกะมีภาษาอังกฤษแฮะ เราแปลให้อัลเลฟังแล้วก็ให้สงสัยว่า อ้าวแล้วฝรั่งไม่ต้องไปลงทะเบียนอะไรงี้เหรอ…แล้วก็นึกถึงต่อไปว่า…ถ้าเป็นเราตอนขากลับ อารามดีใจได้กลับบ้าน กำลังอยู่ในอารมณ์หลั่นล้ามากเลย ..มาถึงปรากฎ อ้าวฮ่วยไรฟระ ทำไมบ้านช้าาานมีเคอร์ฟิว..แล้วต้องเรียกแท็กซี่กลับบ้านเองตอนห้าทุ่มครึ่ง…จะมีรถกลับบ้านมั้ย แล้วข้างนอกก็คงเต็มไปด้วยทหารถือปืนที่ไม่ได้แบกปูนไปโบกตึก…คิดแล้วก็…เอิ่มมม…ไม่เอา ไม่เอา เลิกคิดดีกว่าาาา

จะขนอะไรกันไปมากมาย ไปแค่ 3 เดือนนะ ไม่ใช่ 3 ปี!!!

พอถึงคิวเรา ไอเราก็ลุ้นระทึกตื่นตุ้มกับการชั่งน้ำหนักกระเป๋า กลัวว่าหนักเกินแล้วต้องจ่ายเงินเพิ่ม เคาท์เตอร์ที่เราไปเช็คอินมีเจ้าหน้าที่หนุ่มหน้าใสเป็นคนดูแล เรากับอัลเลยังคงนอยด์+ตื่นตุ้ม ตึ่งตึ่งตึงตึ๊งตึ่ง…ตั๋วจะยังคอนเฟิร์มอยู่มั้ยว้าา..

ปรากฎว่าตั๋วโอเค พี่เจ้าหน้าที่ดูหน้าวีซ่าในพาสปอร์ทแล้วถาม..”90 วันนี่มันถึงเดือนสิงหาเลยเหรอครับ” “ถึงค่ะ…แบบว่า 90 วันเป๊ะ ไม่ขาดไม่เกินเลยคร่าา หุหุหุ..” เราเหลือบมองตัวเลขน้ำหนักกระเป๋า เหวย 21 โล แอบเกินมานิดนึงด้วย

แต่สงสัยพี่กราวด์หนุ่มหล่อคงจะง่วง..พี่ไม่ดูกระเป๋าหนูไม่พอ แต่ยังไม่ติดแท็กป้ายที่กระเป๋าด้วย..แล้วมันจะไปลงที่ไหนคร้าาาเนี่ย

“มันก็จะไปเที่ยวไง…..แต่จะไกล ไกลมาก….แล้วก็…ciaoooooooo!!”  -“- เอิ่มมมม

——————————————————————————–

19 May 10 : Bangkok, Thailand

ลนลานเก็บข้าวเก็บของยัดใส่กระเป๋า ตามกำหนดการเราควรจะไปถึงสุวรรณภูมิเพื่อเช็คอินตอนสามทุ่ม แต่สถานการณ์การเมืองกับกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงกลับบานปลายใหญ่โต ที่ห้องเราไม่มีทีวี แต่อัลเลก็เปิดเน็ท และคอยอัพเดทเหตุการณ์ตลอด เริ่มมี breaking news รายงานว่ามีการเผาสถานที่ ห้างร้านตามจุดต่างๆ โดยเฉพาะที่เซ็นทรัลเวิร์ล เราฟังอัลเลรายงานด้วยความตกใจ ปนเศร้า ออกไปตรงระเบียง มองเห็นกลุ่มควันสีเทาดำพวยพุ่งออกมาเป็นระยะ สถานการณ์ท่าจะแย่ลงไปอีก ข่าวแว่วมาว่ารัฐบาลจะประกาศเคอร์ฟิวออกมาเป็นแน่แท้ ทั้งแม่ ทั้งจูน แล้วก็ปลา ผลัดกันโทรมาบอกข่าวคราว สงสัยจะรู้ว่าพวกเราไม่รับสื่อ พวกมันคงจะหลั่นล้า ลอยชายกันอยู่เป็นแน่ 555 เรารีบเปลี่ยนแผนจากที่จะออกจากบ้านกันซักประมาณทุ่มนึงมาเป็นห้าโมงแทน…

ทุกอย่างผ่านพ้นไปด้วยความลนลาน ยัด ยัด แล้วก็ยัด…กลัวน้ำหนักเกินก็กลัว เสร็จเรื่องกระเป๋าก็มาเป็นต้นไม้ โอว..เพิ่งจะรู้ว่าต้นไม้ที่ระเบียงเรานี่มันมากกว่ายี่สิบสามสิบต้นซะอีก หนักก็หนัก นี่ตรูจะขนซื้อมาทำไมวะเนี่ย ..ในขณะที่ขนลงไปข้างล่างขึ้นลงบันไดสี่ชั้นเพื่อฝากให้ลุงช่วยรดน้ำต้นไม้ พี่ปุ๊กข้างห้องก็ขี่ม้าขาวมาช่วยด้วยการบอกว่าพี่เค้าจะช่วย spray มาจากระเบียงห้องข้างๆ ให้เอง โฮๆๆๆ เหมือนยกภูเขาห้าลูกออกจากอก..เอ้าขนกลับเข้าห้องเข้าไปใหม่

BKK on fire_10May2010

BKK on fire_10May2010

หกโมงเย็น เหงื่อแตกซ่ก ทั้งลากทั้งแบกทั้งหิ้วกระเป๋ามาขึ้นแท็กซี่ พี่คนขับพาเราขึ้นทางด่วนพระรามหก ตะบึงมุ่งหน้าไปสนามบินให้ทันก่อนสองทุ่ม รถวิ่งออกนอกเมืองทางโล่งสะดวกมาก ตรงข้ามกับเลนสวนที่เริ่มติดกันเป็นแพยาว จากบนทางด่วนเรามองลงไปเห็นควันขโมงจากอนุเสาวรีย์ชัย วิ่งมาอีกหน่อยคราวนี้เห็นกลุ่มควันพวยพุ่งมาจากทิศทางขวามือ

ต้นเหตุของกลุ่มควันน่าจะเป็นเซ็นทรัลเวิร์ล ขนาดของเจ้ากลุ่มควันนี่มันมหาศาลจริงๆ นะ ยังกะในหนังเลย เราหันหน้าหันหลังชะเง้อแง้จากในรถแล้วก็มองหน้ากันกับอัลเล…รู้สึกเหมือนก้อนสะอื้นมันขึ้นมาจุกอยู่ที่คอ…นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับประเทศไทยกันนะเนี่ย…

view from expressway

view from expressway

“อ้าวแล้วพี่ รับหนูขึ้นมานี่ไม่กลัว ขับรถกลับไม่ทันเหรอคะ” เราถามพี่แท็กซี่

” อ๋อ ไม่เป็นไรหรอก..เดี๋ยวผมก็โน่นเลย ขับออกไปสมุทรปราการ ออกนอกเืมืองไปโน่น”

อืมมม….งั้นแล้วไป….ไม่เคยอยู่ตอนบ้านเมืองเคอร์ฟิวซักที…จะเป็นยังไงกันต่อไปนะ…คิดแล้วก็เฮ้อออออ….

“บรรยากาศเหมือนเรากำลังหนีออกนอกประเทศกันเลยเนอะ อัลเลเนอะ -_-”

——————————————————————————–

1028 April 10: ฺBangkok, Thailand…เตรียมตัวเก็บกระเป๋า..เย้

ใส่ความเห็น