เมื่อหมูตกถังข้าวสาร ปลาวาฬตกถังไอติม


เสียง ดังโครม!!!!

สวัสดี ค่ะพ่อแม่พี่น้อง มิตรรักแฟนเพลงทุกท่าน หวังว่าทุกคนคงสบายกันดี (เริ่มต้นจดหมายได้ฉันทนามาก) ก่อนอื่นขอส่งความคิดถึงข้ามขอบฟ้า (ยัง..เชยได้อีก!) มาพร้อมกับกลิ่นหอมๆ ของพิซซ่า พาสต้า พาร์มีซานและสารพันชีส แฮมซาลาเม่ มอตตาเดลร่า โปรชูตโต้ แอนด์ไอติมเจลาโต ให้ทุกคนได้เท่าๆ กัน

food

จดหมายฉบับนี้ท่วมท้นไปด้วยคราบน้ำตา (ของคนเขียน) เพราะหลังจากเขียนจบไปอย่างยาวยืด ในขณะที่กำลัง Insert รูปอยู่นั้น hotmail อิชั้นก็เดี้ยงงงงงงง…เรือหาย!! หมดกันค่ะหมดกัน นั่งเขียนมาทั้งวัน โมโหแทบจะเขวี้ยงโน้ตบุ๊คใส่ข้างฝา…แต่จะทำเยี่ยงไรได้นอกจาก เขียนใหม่ ก็ถือเป็นโชคดีของพี่ๆ ไป ที่ไม่ต้องทนอ่านเมลยาว ส่วนความซวยส่งมาที่ช้านน ช้านนรับไว้เอ๊งงงงง…ฮึกฮือๆๆ T__T

เอา ล่ะ…นั่งเขียนไปกัดฟันกรอดๆ ไปเหมือนคนบ้า…ก่อนอื่น ขอเล่าเท้าความซักนิด…สำหรับท่านที่มิได้ติดต่อส่งทั้งข่าวคราว กันมาพอสมควร ตอนนี้ภู่เก็บข้าวเก็บของหนีตาม..เอ๊ย มาเที่ยวกับอัลเลอยู่ที่อิตาลีได้ซักพักใหญ่แล้วค่ะ สืบเนื่องมาจากสนธิสัญญาพาราณสี-กอทอมอที่ตกลงกับเฮียว่า ถ้าจับพลัดจับผลูวีซ่าผ่านฉันใด ปีนี้เราจะไปเที่ยวบ้านอัลเลกัน หลังจากนั้นตั้งกะต้นปีที่ผ่านมา อิชั้นก็ทำแต่งาน ค่อยเก็บหอมรอมริบ หยอดไหกระเทียมกระปุกน้ำปลา อดใจไม่ไปเที่ยวไหนเลยตั้งกะกลับมาจากอินเดียเมื่อกลางปีที่แล้ว สี่เดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก หลังจากกระบวนการวีซ่าผ่านพ้น ตามด้วยเซอร์ไพรส์ตบตีเรื่องตั๋วเครื่องบินกันแทบลิ้นห้อยอยู่พัก ใหญ่ ในที่สุดกำหนดวันเดินทางก็มาถึง (ถึงในใจจะร้องว่า ship lost — ยังเก็บได้ไม่ถึงไหนเลย จะเอาสลึงที่ไหนมาเที่ยวฟระ) แต่อย่างไรก็ตาม the show must go on ค่ะ และแล้ว เย็นวันพุธที่ 19 พฤษภา เราก็บ๊ายบายจากกรุงเทพมาพร้อมทิ้งกลุ่มควันไฟพวยพุ่งขนาดใหญ่ไว้ เบื้องหลัง (ถ้าเล่าจะยาว รายละเอียดไปอ่านกันได้ที่ บันทึก ลับดาวินชี่ )ยังกะหนีออกนอกประเทศกันยังไงยังงั้น!!

10 ชั่วโมงจากกรุงเทพไปไคโร นั่งนับอูฐอยู่ห้าชั่วโมงเพื่อรอต่อเครื่อง สามชั่วโมงต่อมา สายการบินอียิปต์แอร์ก็พาเราบินโฉบหัวสฟิงค์ (ในจินตนาการ) มาลงที่สนามบินลีโอนาร์โด ดาวินชี่ ฟูมิชิโน่ หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า Fumicino airport ที่กรุงโรม เมืองหลวงของประเทศ เรางัวเงียลงมาจากเครื่องยังไม่ทันได้ชื่นชมความยิ่งใหญ่อลังการ ของกรุงโรม ก็ต้องตะลีตะลานวิ่งไปขึ้นรถไฟเข้าเมือง เพื่อต่อรถไฟระหว่างเมืองอีกหนึ่งขบวนไปยังวิอาเร็จโจ เมืองใกล้ๆ กับที่พ่อแม่อัลเลอยู่

food on train

บนรถไฟ–เราควักขนมปังที่แอบเก็บมา จากบนเครื่องมากินประทังชีวิต!!!

ที่ชานชลา พ่อแม่ของอัลเลขับรถมารอรับอยู่แล้ว หลังจากกระบวนการแนะนำตัวเสร็จสิ้นด้วยภาษาอิตาเลียนเป็นคุ้งเป็น แควของเรา (คือมีแต่น้ำ เนื้อหาไม่มี) พ่อแม่อัลเลก็ขับรถพาหนุ่มสาวผู้อ่อนระโหยโรยแรงไปบ้านที่อยู่ห่าง ไปอีกราวสิบห้านาที ที่นั่น..อาหารอิตาเลียนแบบเต็มสูตรมื้อแรกตอนสามทุ่มของวัน ที่กินเวลาเกือบสองชั่วโมง ทำให้อิชั้นรู้ว่าเราทนหิวโหยอยู่สามชั่วโมงบนรถไฟเพื่ออะไร …ความรู้สึกมันช่างเหมือนแดดอุ่นฟ้าใสยามพายุผ่านพ้นไป กระนั้น..น่าน..เว่อร์ได้อีก

มาเที่ยวครั้งนี้ ไม่ได้วางแผนอะไรเป็นเรื่องเป็นราว (ฟังดูดี..จริงๆ ขี้เกียจก็บอกเค้าไปเถอะ) นอกจากยึดสโลแกน “เที่ยวทั่วถึง ไปทั่วถิ่น เหนือใต้ออกตกเราไปสิ้น (แน่นอน ยกเว้นที่ไฮโซเราไม่ไป ไม่ใช่เพราะไม่ถูกจริต..แต่ไม่มีตังค์ แหะ แหะ) โดยมีเวลาทั้งหมด 90 วันตามที่ขอวีซ่ามาได้ แต่เนื่องจากวีซ่าเชงเก้นที่ได้เป็นแบบซิ งเกิ้ล ซึ่งหมายถึงว่าไปเที่ยวได้ทั่ว 22 ประเทศในกลุ่มเช็งเก้น แต่ไอที่จะแว่บไปโมร็อคโคบ้าง แอฟริกาบ้าง ยุโรปตะวันออกบ้าง (หรือพูดอีกนัย..ประเทศที่ค่าใช้จ่ายน้อยนั้น) เป็นอันตกไป สำหรับท่านที่หวังจะเห็นอิชั้นเที่ยวแบบยูโรเปี้ยนแกรนด์ทัวร์ ขอโปรดลดระดับความคาดหวังมาซักห้าสิบจุด เพราะทัวร์ครั้งนี้เราจะเน้น “เที่ยวน้อยต่อยหนัก พักเยอะเข้าว่า” หากชาวบ้านไปทัวร์สามวันห้าประเทศได้ด้วยสูตรตื่นหกกินเจ็ดออกแปด เราจะไปกันด้วยสูตรตื่นตามใจฉัน กินมันทุกวัน และแดดออกฉันออก เมฆหมอกมาเรารอราอยู่บ้าน…ส่วนจะไปได้ถึงไหนนั้น จะคอยอัพเดททุกๆ ท่านเป็นครั้งคราวไปนะคะ

ขอพูดถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ผ่านมา ซักเล็กน้อย จะว่าไป เที่ยวครั้งนี้ (so far) ถือได้ว่าเป็นทริปที่อยู่ดีกินดีที่ สุด โดยเฉพาะถ้าคุณเพื่อนๆ พี่ๆ ทราบกิตติศัพท์การเที่ยวแบบ extreme ของอัลเลเป็นอย่างดี (คือ extremely cheap! ) เพราะครั้งนี้เรามา base กันอยู่ที่บ้านพ่อแม่อัลเล ผู้มีอุปการะคุณ ที่นอกจากจะให้หลังคาคุ้มกระหม่อม น้อยๆ ของอิชั้นแล้ว ยังคอยเป็นห่วงเป็นไย feed อิชั้นอยู่เนืองๆ ที่อิตาลีนี่ ต่อให้ลูกเต้าโตแค่ไหน พ่อแม่เค้าก็ยังคิดว่าลูกเป็นลูกที่เค้าต้อง ดูแลอยู่ อิชั้นก็เลยได้รับอานิสงค์การอยู่ดีกินดีอยู่ทุกวัน ครอบครัวไทยอาจจะดีใจถ้าแฟนลูกชายเป็นกุลสตรีเรียบร้อย เก่งการบ้านการเรือน งานหลวงไม่ได้ขาด งานราษฎร์ไม่ได้เว้น แต่สำหรับแม่อัลเลซึ่งชมชอบการทำอาหารตามแบบฉบับคุณแม่ชาว อิตาเลียนแล้ว การที่เห็นดิชั้นกินเอากินเอา กินสิ้นทุกสิ่งอย่าง อย่างเอร็ดอร่อยเหลือเกินนั้น นับว่าถูกจริตมากมาย (ขออภัยหญิงไทยทุกท่าน ที่อิชั้นอาจทำให้ภาพพจน์เสียหาย!!)

้home

บ้านเค้าคือวิมานของเรา

kitchen

ส่วนห้องครัว (โดยเฉพาะตู้เย็น) คือวิมานของอิช้านนอย่างไม่ต้องสงสัย!!

ในขณะเดียวกัน การมาอยู่ที่บ้านพ่อแม่เค้า ก็ทำให้ทริปนี้มีอารมณ์ประหนึ่ง “อิตาเลียนซัมเมอร์แคมป์ ” ที่เราได้มาอยู่กับ host family ยี่สิบสี่ชั่วโมงคือภาษาอิตาเลียน เพื่อนบ้านก็อิตาเลียน ทีวีก็ดั๊บอิตาเลียน พูดกับหมาก็ต้องภาษาอิตาเลียน ไม่งั้นชีไม่เดิน โดยเฉพาะอาทิตย์แรกๆ ที่ไปตระเวนเยี่ยมญาตินะ โอ๋ยย สนุกพิลึก! ต้องขอขอบคุณคอร์สอิตาเลียน อูโนกับอาจารย์บุสก้าแห่งคณะอักษรศาสตร์ เมื่อสองปีที่แล้ว กับจินตนาการอันสูงส่งของเรา (quoted ตามคำค่อนขอดของเฮียเค้าล่ะ) บวกกับมือไม้ท่าทางเวลาสนทนาของชาวอิตาเลียนเค้า ทำให้เราพอจับใจความได้ ดูรายการทีวีรู้เรื่อง หัวเราะเอิ๊กอ๊ากได้ตรงคิว แล้วก็นั่งคุยกับแม่อัลเลได้เป็นชั่วโมง (แน่นอน..ไม่มีใครบอกได้ว่า สุดท้ายเราเข้าใจถูกรึเปล่า เพราะนั่งกันอยู่แค่สองคน 555)

13 14

เปโดร คุณแมวตัวผู้

15 16

เลลล่า คุณหมาตัวเมีย (ไม่ได้ด่าใครนะคร้า)

17 18

และแน่นอน ลูกชายเจ้าของบ้าน อิอิอิ


นอกจากนี้ เรายังได้เรียนรู้ความเป็นอยู่แบบอิตาเลียน ผ่านการกิน (อย่างไม่บันยะบันยังแต่มีความสุข) อยู่กรุงเทพไม่ดื่มกาแฟ แต่ทุกวันนี้ตื่นมาจิบคาปูชิโน่ (เขียนให้ฟังดูเว่อร์ไปงั้นแหละ ก็บ้านไหนๆ เค้าก็มีเครื่องชงกาแฟกันนี่นา) ไปเก็บสตอเบอรี่บ้าง เชอรี่บ้างที่ vinyard (จะเขียนว่าไร่องุ่น ก็ฟังดูใหญ่โต แปลว่าสวนองุ่นได้มั้ยอ่ะ) เรียนรู้การทำไวน์ภาคทฤษฎี ดูเค้าทำแยม ไปบ้านลุง ลุงก็นั่งอธิบายวิธีทำกาแฟมอคค่า แล้วเดี๋ยวอาทิตย์หน้าก็มีแววจะได้นวดแป้งทำพิซซ่ากินเอง นี่ดีว่าไม่ต้องเตรียมรำไทยไปโชว์นะ…รอดตัวไป –”-  afro

อิตาลีมีทั้งหมด 20 แคว้น เมืองที่เราอยู่เป็นเมืองเล็กๆ ริมชายฝั่งเมดิเตอร์เรเนียน ชื่อว่า ตอเร่ เดล ลาโก (Torre Del Lago แปลว่า Tower of the Lake) ตั้งอยู่ใน Toscana หรือทัสคานี หนึ่งในแคว้นที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของประเทศ มีประชากรราว 20,000 คนได้มั้ง นับจากขนาดถือว่าเป็น town ในขณะที่เมืองวิอาเร็จโจ (Viareggio) ซึ่งเป็นเมืองใกล้ๆ กัน เข้าข่ายเป็น city ด้วยความที่เป็นเมืองริมทะเล ทั้งตอเร่ เดล ลาโก และวิอาเร็จโจ ถือเป็นหนึ่งในบรรดาเมืองยอดฮิตของคนอิตาลีที่จะมาพักตากอากาศกัน โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนเดือนสิงหา ซึ่งจะยุ่บยั่บไปด้วยนักท่องเที่ยว

19

จากแผนที่จะเห็นว่า อยู่ใกล้ปิซ่ามั่กๆ (นั่งรถไฟสิบนาทีก็ถึง)

Credit map : http://goeurope.about.com/cs/tuscanyumbria/l/bl_tuscany_map.htm


26

จริงๆ ตอเร่ เดล ลาโก ชื่อเต็มๆ ว่า Torre del lago Puccini ซึ่งตั้งเพื่อเป็นเกียรติและรำลึกถึง จาโคโม ปุชชินี่ (Giacomo Puccini : Giacomo Antonio Domenico Michele Secondo Maria Puccini (22 December 1858 – 29 November 1924) คีตกวีผู้ยิ่งใหญ่ชาวอิตาลี และผู้ที่เป็นที่รักของผู้หลงไหลโอเปร่าทั่วโลก ปุชชินี่เกิดที่เมืองลุคคา แต่มาใช้ชีวิตและมีบ้านริมทะเลสาบอยู่ที่ตอเร่ เดล ลาโก ซึ่งปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ ชื่อว่า “Villa Museo Puccini” ตัวอิชั้นเองก็มีความรู้เรื่องโอเปร่าเท่าหางอึ่งมากเลย แต่ก็พอจำได้คลับคล้ายคลับว่าว่าปุชชินี่เป็นคนแต่งเรื่อง มาดาม บัตเตอร์ฟลาย (Madam Butterfly) ส่วนเรื่อง Tosca ที่โด่งดัง ก็เพิ่งปีนกระไดฟังอยู่ที่บ้านไปอาทิตย์ก่อน ฟังไม่ออก แต่ก็พอรู้สึกได้ว่า เพราะจริงงงง เพราะจังงงง…

20

22 21

หน้าบ้านของปุชชินี่ — พร้อมรูปปั้นเท่าคนจริง

– – ส่วนอีกฝั่งหนึ่งของถนนตรงข้ามบ้านปุชชินี่ ตอนนี้ สร้างเป็น outdoor theatre รองรับเทศกาล Puccini Festival ที่จะมีการแสดงโอเปรากันในช่วง กรกฎา-สิงหา …ตอนนี้เราก็เปิดโอเปร่าฟังอยู่ที่บ้าน “ซ้อมหู” ไปพลางๆ

23

25 24

บรรยากาศบางส่วนริมทะเลสาบของ ตอเร่ เดล ลาโก

ตอเร่ เดล ลาโก เป็นเมืองเล็กๆ ที่แสนจะ “ชิล” ในระดับหนึ่ง ฝั่งหนึ่งของเมืองเป็นทะเลสาบ ส่วนอีกฝั่งของเมืองถ้าขี่จักรยานผ่านป่าสนไปอีกสิบนาทีก็จะเจอ ชายหาดทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยเฉพาะที่นี่จะมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักว่า “gay-friendly beach” เพราะฉะนั้น การเห็นหนุ่มหล่อล่ำ เดินซิกซ์แพ็คมาเป็นคู่ึจึงเป็นเรื่องธรรมดา (แน่นอย ท่ามกลางความอิจฉา และเสียดายของเรา) แต่จะว่าไปเราก็ไม่ค่อยเห็นดาด ดื่นนะ ที่เห็นบ่อยกว่าคือสาวๆ topless นอนอาบแดด…บางทีก็มีคู่หนุ่มสาวมานัวเนียกันบนชายหาด ที่เรากับอัลเลตั้งชื่อไว้รู้กันสองคนว่าเป็นกิจกรรม “reproduce” แล้วไม่ใช่อยู่กันแอบๆนะ โน่นเลย เมื่อวันก่อนมีอยู่คู่นึง นัวกันตั้งกะบ่ายจนเย็น ลงไปนัวกันในน้ำ แล้วก็มากิ๊กก๊กกันต่อ ส่วนข้างๆ ก็เป็นคุณป้านั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้ชายหาดอย่างไม่สนใจ ไอเราก็ดูเค้าอยู่ได้ หน้าไม่อาย 555 โอ๊ยยย..มากมายย

IMG_2151

ช่วงพฤษภา-สิงหา ที่เรามาเป็นช่วงสปริง-ซัมเมอร์ ซึ่งเป็นหน้าท่องเที่ยว อากาศดีดี๊ดี ฟ้าเป็นฟ้า แดดเป็นแดด ตอนแรกๆ ที่มาถึงอากาศยังเย็นอยู่บ้างประมาณ 12-18 องศา แต่ตอนนี้เริ่มร้อนขึ้นมาละ อยู่ที่ 20-25 แต่ช่วงฤดูใบไม้ผลินี่เป็นไพรม์ไทม์ของผลหมากรากไม้ มองไปทางไหนก็เขียวววววววว แต่ละบ้านก็ปลูกดอกไม้สะพรั่งงงงงงงงง ชนิดที่ยกร้านดอกไม้มาตั้งแข่งกัน เลยทีเดียว

27 28

29 30

32

31

กำแพงดอกมะลิที่มีกันทุกบ้าน เดินผ่านทีหอมมมมมมมมมมมมตั้งกะต้นซอย


ผ่านมาแล้วสามอาทิตย์ กิจวัตรประจำวันของเรากับอัลเล คือตื่นมากินอาหารเช้า ออกไปขี่จักรยาน กลับมากินอาหารกลางวัน ขี่จักรยานออกไปทะเล แวะไป vinyard ของพ่ออัลเล เก็บผักเก็บหญ้า พาเลลล่าไปเดินเล่น ช่วยนี่นั่นตามประสา แต่ส่วนใหญ่จะเข้าไปเล่นซะล่ะมาก นอกจากนี้แล้ว เรายังทำตามแผนคร่าวๆ คือ ไปเที่ยวตามเมืองต่างๆ ในทัสคานีแบบ day trip ด้วยจักรยานมั่ง รถไฟมั่ง ขับรถไปมั่ง เลือกเอาแบบที่อยู่ใกล้ๆ กับตอเร่ เดล ลาโกก่อน อย่าง

33

วิอาเร็จโจ (Viareggio) — เมืองไฮโซชายทะเล

34

35 ปิซ่า (Pisa) – เมืองนี้ไม่ได้มีดีแค่หอเอน

36 ปิเอตราซานต้า (Pietrasanta)– เมืองกิ๊บๆ ของคนรักงานศิลป์

37ลุคคา (Lucca) — เมืองแห่งปราสาทยุคกลางและอัศวิน (ที่ไม่ใช่คนในรูป!!)

38 มาซซาชูโคลี (Massaciuccoli) — เมืองสงบงามริมทะเลสาบ

39
พิสตอยย่า (Pistoia) — เมืองแห่งหินอ่อนสีเขียว

40

ซานจิมิยาโน (San Gimigiano) — เมืองร้อยหอคอย กับบรรยากาศแสนหวาน

41 เซียนน่า (Siena) — เมืองอลังการสนานสนุกงานสร้าง ต้นตำนาน Palio

42 ฟลอเรนซ์ (Firenze) — เมืองนี้อิชั้นหลง (ทาง) รักเข้าไปซะแล้ววว

visited cities_Toscana

เมืองต่างๆ ในแคว้นทัสคานี ที่ไปเที่ยวมาได้แบบใกล้ๆ Credit map : http://goeurope.about.com/cs/tuscanyumbria/l/bl_tuscany_map.htm

ภูมิทัศน์ของทัสคานีสวยจริงสวยจังอย่างคำล่ำลือ ส่วนที่เที่ยวเมืองต่างๆ โดยเฉพาะโบสถ์บ้างอะไรบ้างก็อลังการงานสร้างอย่างน่าทึ่ง หลายครั้งที่เราอ้าปากค้างมองพวกรูปปั้น หรือภาพแกะสลักบนอาคารส่วนหน้าของมหาวิหาร (façade) แล้วชี้ชวนให้อัลเลดู แต่พอเราตั้งท่าจะถ่ายรูป ฮีก็จะท้วงว่า

“แต่นี่มันของใหม่เพิ่งสร้างนะ”

“ใหม่ นี่มันใหม่กี่ปีอ่ะ”

“ก็เพิ่งสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 อ่ะ”

โห พ่อคุณ…ก็ของแต่ละอย่างประเทศคุณน่ะ มันตั้งแต่ก่อนจักรวรรดิ์โรมัน แต่คริสต์ศตวรรษที่ว่านั่นมันก็ปาเข้าไปกว่า 200 ปีแล้ว แถวบ้านชั้นน่ะ เรียกว่าสมัยเพิ่งก่อตั้งกรุงเทพ เก่าแล้วย่ะ ขึ้นป้ายได้แล้ว!!!

การไปเที่ยวเมืองต่างๆ ของอิตาลี ทำให้เราได้เห็นสถานที่ต่างๆ ที่ผ่านประวัติศาสตร์มายาวนาน การเข้าไปเดินๆ ตามตรอกซอกซอยต่างๆ ผ่านโบสถ์โน้นบ้าง หอคอยนี้บ้างของแต่ละเมืองสะท้อนให้เห็นรูปแบบสถาปัตยกรรมของยุค สมัยที่แตกต่างกันไป ทีนี้ความสนุกทุกข์ถนัดของอิชั้นผู้ที่ตอนนั่งเรียน west civ ก็หลับ มีวิชา art appreciation ก็ไม่ได้ไปลงกับเค้า ส่วน music appreciation ก็ผ่านมาได้ยังไงอย่าง งง งง ทำให้ต้องนั่งหาข้อมูลก่อนไปเที่ยวแต่ละที่อย่างกับเตรียมตัวเข้า ห้องสอบ รื้อฟื้นลึกกันไปถึงขั้นประวัติศาสตร์ศิลป์กันเลยทีเดียว เพราะแค่ไปเมืองแรกแล้วฟังอัลเลอธิบายว่า โบสถ์นี้เป็นสถาปัตยก รรมแบบโรมานเนสก์ เรียกว่าบาซิลิก้า ส่วนข้างในเป็น arch ที่เริ่มมีอิทธิพลของโกธิค ตกแต่งแบบบาโร้ค ปนโดมแบบเรอเนสซองค์ ฯลฯ ก็คิ้วขมวดจนปวดหัวแล้ว แม้แต่ภาพวาดหรือรูปแกะสลักในโบสถ์ซึ่งบอกเล่าเรื่องราวของคริสต์ ศาสนา ก็ยังสะท้อนให้เห็นอิทธิพลของหลายยุคสมัย รายละเอียดปลีกย่อยจาก Old Testament , New testament พระคัมภีร์ไบเบิ้ล ถ้า Jesus Christ บนกางเขนแบบนี้ เป็นสมัยโรมัน แบบนั้นเป็นสมัยยุคกลาง ก็แล้วไอยุคโรมันกับยุคกลาง หรือยุคไบแซนไทน์นี่มันเมื่อไรกันนะ เคยเรียน เคยได้ยิน แต่สารภาพความจริงว่าคืนอาจารย์ไปหมดแล้วค่ะ หนูขอโต้ดดดดด !!!

…ภาพกับเรื่องของเมืองอื่นๆ เดี๋ยวจะทยอยเขียนส่งไปให้ดูใน ครั้งต่อๆ ไป เพราะถ้าใส่ในเมลนี้ครั้งเดียวหมด ครั้งหน้าอาจไม่มีใครเปิดอ่านเมลจากอิชั้นอีกต่อไป (จริงๆ หลายคนปิดเมลนี้ไปตั้งนานแล้ว ค่าที่ยาวเหลือเกิน..เห็นนะๆ) ^^

ขอส่งท้ายด้วยวิวงามๆ จากทัสคานี…

ขออภัยที่ภาพเบลอ เพราะถ่ายจากหน้าต่างรถค่ะ แถมมีการเหวี่ยงซ้ายหน้าขวาหลังอีกตะหาก

44

45

46

47

48

49

สุดท้ายแล้วจริงๆ ค่ะ ขอบพระคุณที่ยังอดทนอ่านจนจบ..แหะ แหะ…นี่ขนาดเวอร์ชั่นเขียนรอบสองนะนี่…และขออภัยถ้าขนาดของเม ลนี้ใหญ่ยักษ์จนทำให้ inbox ของท่านๆ เดี้ยงไป คราวหน้าจะพยายามทำให้เล็กๆๆๆๆๆ กว่านี้นะคะ

โปรแกรมของเราต่อจากนี้ คือการลงใต้ไปเที่ยว “ซิซิลี” อาทิตย์หน้า ด้วยการตั้งไปตั้งเต๊นท์ตาม camping site ของเมืองต่างๆ ขาไปจะนั่งเรือเฟอรี่ตียาวไปจนถึงซิซิลี ส่วนขากลับจะนั่งรถไฟ แล้วแวะเที่ยวตามเมืองต่างๆ เช่น เนเปิ้ลส์ (Napoli) แล้วก็โรม แน่นอน แผนการย่อมฟังดูสวยหรูดูดีเสมอ แต่ความเป็นจริงจะเป็นอย่างไรนั้น…โปรดติดตามตอนต่อไปค่ะ!!

Until next time…..artist

Ciaooooooooooooooo


4 ความเห็น to “เมื่อหมูตกถังข้าวสาร ปลาวาฬตกถังไอติม”

  1. สวัสดีค่ะ ..เพิ่งเข้ามาอ่านบล็อกของคุณเป็นครั้งแรก อยากจะบอกว่าเขียนได้สนุกมากเลยค่ะ ชอบสำนวนคุณจังเลย ^ ^ ขอบคุณนะคะ ตอนนี้ก็กำลังไล่ตามอ่านเอ็นทรี่หลังๆอยู่ค่ะ แต่แอบงงๆกับระบบของ wordpress อยู่เหมือนกัน เพราะปกติเข้า exteen เอ่อ ..อยากจะถามว่าถ้าจะอ่านจากหลังมาหน้าทำยัไงคะ? ตอนนี้อ่านจากหน้าไปหลังเรื่อยๆอยู่อ่ะค่ะ ^ ^ ขอบคุณมากๆนะคะ ปล. เข้ามาบล็อกนี้ได้จากการเสิร์ชว่า jason mraz เลยนะคะเนี่ย.. ชอบฟังเพลงของเค้าเหมือนกันเลยค่ะ

    • กรี๊๊ดดด…ขอบคุณมากค่ะคุณ aor ฟังแล้วรู้สึกมึความสุขแทบอยากลอยไปกระแทกเพดานแน่ะ 🙂 ดีใจที่อ่านแล้วชอบนะคะ มีกำลังใจเขียนขึ้นมาอีกมาก นี่เขียนเรื่องเที่ยวไม่เคยจะจบเลยนะนี่ (ทำเป็นปากดี จริงๆ ไม่ค่อยได้เขียนเพราะขี้เกียจก็สารภาพเค้าไปเถอะ) ส่วนวิธีอ่านไล่เอ็นทรี่ น่าจะแล้วแต่รูปแบบ theme ของblog wordpress ด้วยค่ะ บางตีมก็จะมี ลูกศรให้อ่าน โพสก่อนหน้าอะไรยังงี้ ที่ท้ายเรื่อง
      ไม่งี้นจะเลือกอ่านจาก catagory เป็นหมวดๆ ไป
      แต่ถ้าอยากย้อนอ่านตั้งกะจากหลังมาหน้า เอาแบบว่าอ่านมันทุกโพสเลย ก็ลองไปคลิกโพสแรกใน archive อ่ะค่ะ อย่างของบล็อกนี้ก็จะเป็นปี 2007 แล้วก็ไล่อ่านๆ ไป ตอนท้ายบล็อกจะมีลูกศร Next ไปที่เรื่องต่อไปค่ะ…

      ตอบช้าขนาดนี้ ป่านนี้คุณ aor น่าจะอ่านจบไปนานแล้วนะนี่

      ยังมีเรื่องจะเขียนอีกหลายกระบุงโกยค่ะ แล้วกลับมาตามอ่านใหม่น้าา ^^

  2. ยอดเยี่ยม
    ขอบคุณที่เขียนอะไร ดี ๆ มาให้อ่านกันนะครับ

ใส่ความเห็น