เสียง ดังโครม!!!!
สวัสดี ค่ะพ่อแม่พี่น้อง มิตรรักแฟนเพลงทุกท่าน หวังว่าทุกคนคงสบายกันดี (เริ่มต้นจดหมายได้ฉันทนามาก) ก่อนอื่นขอส่งความคิดถึงข้ามขอบฟ้า (ยัง..เชยได้อีก!) มาพร้อมกับกลิ่นหอมๆ ของพิซซ่า พาสต้า พาร์มีซานและสารพันชีส แฮมซาลาเม่ มอตตาเดลร่า โปรชูตโต้ แอนด์ไอติมเจลาโต ให้ทุกคนได้เท่าๆ กัน
จดหมายฉบับนี้ท่วมท้นไปด้วยคราบน้ำตา (ของคนเขียน) เพราะหลังจากเขียนจบไปอย่างยาวยืด ในขณะที่กำลัง Insert รูปอยู่นั้น hotmail อิชั้นก็เดี้ยงงงงงงง…เรือหาย!! หมดกันค่ะหมดกัน นั่งเขียนมาทั้งวัน โมโหแทบจะเขวี้ยงโน้ตบุ๊คใส่ข้างฝา…แต่จะทำเยี่ยงไรได้นอกจาก เขียนใหม่ ก็ถือเป็นโชคดีของพี่ๆ ไป ที่ไม่ต้องทนอ่านเมลยาว ส่วนความซวยส่งมาที่ช้านน ช้านนรับไว้เอ๊งงงงง…ฮึกฮือๆๆ T__T
เอา ล่ะ…นั่งเขียนไปกัดฟันกรอดๆ ไปเหมือนคนบ้า…ก่อนอื่น ขอเล่าเท้าความซักนิด…สำหรับท่านที่มิได้ติดต่อส่งทั้งข่าวคราว กันมาพอสมควร ตอนนี้ภู่เก็บข้าวเก็บของหนีตาม..เอ๊ย มาเที่ยวกับอัลเลอยู่ที่อิตาลีได้ซักพักใหญ่แล้วค่ะ สืบเนื่องมาจากสนธิสัญญาพาราณสี-กอทอมอที่ตกลงกับเฮียว่า ถ้าจับพลัดจับผลูวีซ่าผ่านฉันใด ปีนี้เราจะไปเที่ยวบ้านอัลเลกัน หลังจากนั้นตั้งกะต้นปีที่ผ่านมา อิชั้นก็ทำแต่งาน ค่อยเก็บหอมรอมริบ หยอดไหกระเทียมกระปุกน้ำปลา อดใจไม่ไปเที่ยวไหนเลยตั้งกะกลับมาจากอินเดียเมื่อกลางปีที่แล้ว สี่เดือนผ่านไปไวเหมือนโกหก หลังจากกระบวนการวีซ่าผ่านพ้น ตามด้วยเซอร์ไพรส์ตบตีเรื่องตั๋วเครื่องบินกันแทบลิ้นห้อยอยู่พัก ใหญ่ ในที่สุดกำหนดวันเดินทางก็มาถึง (ถึงในใจจะร้องว่า ship lost — ยังเก็บได้ไม่ถึงไหนเลย จะเอาสลึงที่ไหนมาเที่ยวฟระ) แต่อย่างไรก็ตาม the show must go on ค่ะ และแล้ว เย็นวันพุธที่ 19 พฤษภา เราก็บ๊ายบายจากกรุงเทพมาพร้อมทิ้งกลุ่มควันไฟพวยพุ่งขนาดใหญ่ไว้ เบื้องหลัง (ถ้าเล่าจะยาว รายละเอียดไปอ่านกันได้ที่ บันทึก ลับดาวินชี่ )ยังกะหนีออกนอกประเทศกันยังไงยังงั้น!!
10 ชั่วโมงจากกรุงเทพไปไคโร นั่งนับอูฐอยู่ห้าชั่วโมงเพื่อรอต่อเครื่อง สามชั่วโมงต่อมา สายการบินอียิปต์แอร์ก็พาเราบินโฉบหัวสฟิงค์ (ในจินตนาการ) มาลงที่สนามบินลีโอนาร์โด ดาวินชี่ ฟูมิชิโน่ หรือเรียกกันสั้นๆ ว่า Fumicino airport ที่กรุงโรม เมืองหลวงของประเทศ เรางัวเงียลงมาจากเครื่องยังไม่ทันได้ชื่นชมความยิ่งใหญ่อลังการ ของกรุงโรม ก็ต้องตะลีตะลานวิ่งไปขึ้นรถไฟเข้าเมือง เพื่อต่อรถไฟระหว่างเมืองอีกหนึ่งขบวนไปยังวิอาเร็จโจ เมืองใกล้ๆ กับที่พ่อแม่อัลเลอยู่
บนรถไฟ–เราควักขนมปังที่แอบเก็บมา จากบนเครื่องมากินประทังชีวิต!!!
ที่ชานชลา พ่อแม่ของอัลเลขับรถมารอรับอยู่แล้ว หลังจากกระบวนการแนะนำตัวเสร็จสิ้นด้วยภาษาอิตาเลียนเป็นคุ้งเป็น แควของเรา (คือมีแต่น้ำ เนื้อหาไม่มี) พ่อแม่อัลเลก็ขับรถพาหนุ่มสาวผู้อ่อนระโหยโรยแรงไปบ้านที่อยู่ห่าง ไปอีกราวสิบห้านาที ที่นั่น..อาหารอิตาเลียนแบบเต็มสูตรมื้อแรกตอนสามทุ่มของวัน ที่กินเวลาเกือบสองชั่วโมง ทำให้อิชั้นรู้ว่าเราทนหิวโหยอยู่สามชั่วโมงบนรถไฟเพื่ออะไร …ความรู้สึกมันช่างเหมือนแดดอุ่นฟ้าใสยามพายุผ่านพ้นไป กระนั้น..น่าน..เว่อร์ได้อีก
มาเที่ยวครั้งนี้ ไม่ได้วางแผนอะไรเป็นเรื่องเป็นราว (ฟังดูดี..จริงๆ ขี้เกียจก็บอกเค้าไปเถอะ) นอกจากยึดสโลแกน “เที่ยวทั่วถึง ไปทั่วถิ่น เหนือใต้ออกตกเราไปสิ้น (แน่นอน ยกเว้นที่ไฮโซเราไม่ไป ไม่ใช่เพราะไม่ถูกจริต..แต่ไม่มีตังค์ แหะ แหะ) โดยมีเวลาทั้งหมด 90 วันตามที่ขอวีซ่ามาได้ แต่เนื่องจากวีซ่าเชงเก้นที่ได้เป็นแบบซิ งเกิ้ล ซึ่งหมายถึงว่าไปเที่ยวได้ทั่ว 22 ประเทศในกลุ่มเช็งเก้น แต่ไอที่จะแว่บไปโมร็อคโคบ้าง แอฟริกาบ้าง ยุโรปตะวันออกบ้าง (หรือพูดอีกนัย..ประเทศที่ค่าใช้จ่ายน้อยนั้น) เป็นอันตกไป สำหรับท่านที่หวังจะเห็นอิชั้นเที่ยวแบบยูโรเปี้ยนแกรนด์ทัวร์ ขอโปรดลดระดับความคาดหวังมาซักห้าสิบจุด เพราะทัวร์ครั้งนี้เราจะเน้น “เที่ยวน้อยต่อยหนัก พักเยอะเข้าว่า” หากชาวบ้านไปทัวร์สามวันห้าประเทศได้ด้วยสูตรตื่นหกกินเจ็ดออกแปด เราจะไปกันด้วยสูตรตื่นตามใจฉัน กินมันทุกวัน และแดดออกฉันออก เมฆหมอกมาเรารอราอยู่บ้าน…ส่วนจะไปได้ถึงไหนนั้น จะคอยอัพเดททุกๆ ท่านเป็นครั้งคราวไปนะคะ
ขอพูดถึงชีวิตความเป็นอยู่ที่ผ่านมา ซักเล็กน้อย จะว่าไป เที่ยวครั้งนี้ (so far) ถือได้ว่าเป็นทริปที่อยู่ดีกินดีที่ สุด โดยเฉพาะถ้าคุณเพื่อนๆ พี่ๆ ทราบกิตติศัพท์การเที่ยวแบบ extreme ของอัลเลเป็นอย่างดี (คือ extremely cheap! ) เพราะครั้งนี้เรามา base กันอยู่ที่บ้านพ่อแม่อัลเล ผู้มีอุปการะคุณ ที่นอกจากจะให้หลังคาคุ้มกระหม่อม น้อยๆ ของอิชั้นแล้ว ยังคอยเป็นห่วงเป็นไย feed อิชั้นอยู่เนืองๆ ที่อิตาลีนี่ ต่อให้ลูกเต้าโตแค่ไหน พ่อแม่เค้าก็ยังคิดว่าลูกเป็นลูกที่เค้าต้อง ดูแลอยู่ อิชั้นก็เลยได้รับอานิสงค์การอยู่ดีกินดีอยู่ทุกวัน ครอบครัวไทยอาจจะดีใจถ้าแฟนลูกชายเป็นกุลสตรีเรียบร้อย เก่งการบ้านการเรือน งานหลวงไม่ได้ขาด งานราษฎร์ไม่ได้เว้น แต่สำหรับแม่อัลเลซึ่งชมชอบการทำอาหารตามแบบฉบับคุณแม่ชาว อิตาเลียนแล้ว การที่เห็นดิชั้นกินเอากินเอา กินสิ้นทุกสิ่งอย่าง อย่างเอร็ดอร่อยเหลือเกินนั้น นับว่าถูกจริตมากมาย (ขออภัยหญิงไทยทุกท่าน ที่อิชั้นอาจทำให้ภาพพจน์เสียหาย!!)
บ้านเค้าคือวิมานของเรา
ส่วนห้องครัว (โดยเฉพาะตู้เย็น) คือวิมานของอิช้านนอย่างไม่ต้องสงสัย!!
ในขณะเดียวกัน การมาอยู่ที่บ้านพ่อแม่เค้า ก็ทำให้ทริปนี้มีอารมณ์ประหนึ่ง “อิตาเลียนซัมเมอร์แคมป์ ” ที่เราได้มาอยู่กับ host family ยี่สิบสี่ชั่วโมงคือภาษาอิตาเลียน เพื่อนบ้านก็อิตาเลียน ทีวีก็ดั๊บอิตาเลียน พูดกับหมาก็ต้องภาษาอิตาเลียน ไม่งั้นชีไม่เดิน โดยเฉพาะอาทิตย์แรกๆ ที่ไปตระเวนเยี่ยมญาตินะ โอ๋ยย สนุกพิลึก! ต้องขอขอบคุณคอร์สอิตาเลียน อูโนกับอาจารย์บุสก้าแห่งคณะอักษรศาสตร์ เมื่อสองปีที่แล้ว กับจินตนาการอันสูงส่งของเรา (quoted ตามคำค่อนขอดของเฮียเค้าล่ะ) บวกกับมือไม้ท่าทางเวลาสนทนาของชาวอิตาเลียนเค้า ทำให้เราพอจับใจความได้ ดูรายการทีวีรู้เรื่อง หัวเราะเอิ๊กอ๊ากได้ตรงคิว แล้วก็นั่งคุยกับแม่อัลเลได้เป็นชั่วโมง (แน่นอน..ไม่มีใครบอกได้ว่า สุดท้ายเราเข้าใจถูกรึเปล่า เพราะนั่งกันอยู่แค่สองคน 555)